จำนวนผู้เข้าชม

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การพัฒนาระบบสารสนเทศ


แนวทางการพัฒนาระบบสารสนเทศ

               ในการพัฒนาระบบสารสนเทศให้เกิดขึ้นภายในองค์กร จัดทำได้ 4 วิธีด้วยกัน
จัดทำขึ้นเองโดยอาศัยเจ้าหน้าที่ระบบงานคอมพิวเตอร์ หากบุคลากรขาดความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง ก็เกิด
การเปลืองเวลาและทรัพยากรมาก มีความเสี่ยงสูง
2. ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาจัดทำระบบให้ - หน้าที่คือ ให้คำปรึกษาในการเขียนรายละเอียดสำหรับประมูลงานคอมพิวเตอร์
                                                                            ให้คำปรึกษาในการวิเคราะห์และออกแบบระบบคอมพิวเตอร์
                                                                            ให้บริการในการเขียนโปรแกรมที่ผู้ใช้ต้องการ
                                                                            ให้บริการติดตั้ง ดูแล ควบคุมระบบงาน
                                                                            ให้บริการอื่น ๆ เช่นการจัดซื้อ จัดหาระบบคอมพิวเตอร์
การเตรียมการเพื่อว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาระบบงานคอมพิวเตอร์ - ต้องดำเนินการดังนี้
-ผู้ว่าจ้างต้องศึกษาความต้องการให้ชัดเจน
-จัดทำใบแจ้งให้บริษัทเสนอราคามาให้
-จัดส่งประกาศเชิญ
-ประเมินข้อเสนอของบริษัท
-เลือกบริษัทที่ปรึกษา
-เจรจาต่อรองเงื่อนไขและราคา
-จัดทำสัญญาว่าจ้าง
-ควบคุมติดตามและประเมินผลงานของบริษัท
นวทางในการคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษามาพัฒนาระบบ หรือซอฟต์แวร์
               - มั่นคง มีประสบการณ์ มีบุคลากรที่มีความสามารถตรงสาขา มีเหตุและผลทางกฏเกณฑ์
3. การซื้อซอฟต์แวร์สำเร็จมาใช้ - ทำให้สะดวกรวดเร็ว น่าเชื่อถือ มีเอกสารประกอบ ใช้ง่าย ปรับปรุงง่าย
               ข้อเสีย บางประเภทมีราคาแพง ไม่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ใช้งานยาก      
               สรุปประเด็นในการพิจารณาเลือกซอฟต์แวร์ ดังนี้
-ในกรณีที่มีคอมพิวเตอร์ใช้งานอยู่แล้ว
-ความสามารถพื้นฐานของซอฟต์แวร์ที่ควรพิจารณา
-ประเด็นเกี่ยวกับราคาและค่าใช้จ่าย
-ประเด็นเกี่ยวกับบริษัทผู้ขาย
4. ผู้ใช้ทำขึ้นเอง - พัฒนาโปรแกรมขึ้นมาใช้งานเอง ซึ่งไม่ซับซ้อนนัก ใช้เครื่องมือโปรแกรมประยุกต์ช่วย

วงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ

ปฏิบัติตามขั้นตอนเรียกว่า “วัฏจักรการพัฒนาระบบงาน (System Development Life Cycle หรือ SDLC)”
มีขั้นตอน 7 ขั้นตอน คือ












  แบบจำลองน้ำตก (Waterfall Model)
ขั้นตอนที่ 1. การศึกษาเบื้องต้น (Preliminary Study)
เป็นการศึกษาถึงความเหมาะสม กำหนดปัญหา หรือการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) เป็นหน้าที่ของนักวิเคราะห์ระบบ จะเน้นศึกษาใน 5 ประการ คือ
               1. ความเหมาะสมทางด้านเทคนิค (Technical Feasibility) - ศึกษาด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ เหมาะสมหรือไม่
               2. ความเหมาะสมทางด้านการปฏิบัติงาน (Operational Feasibility) - การปฏิบัติงานซ้ำซ้อนหรือไม่ ตรงหรือไม่
               3. ความเหมาะสมทางด้านการเงิน (Financial Feasibility) เปรียบเทียบความคุ้มค่า ผลตอบแทน ค่าใช้จ่าย
               4. ความเหมาะสมทางด้านเวลา (Schedule Feasibility) - พิจารณาเวลาในการสร้างระบบงาน การใช้เวลา
              5. ความเหมาะสมทางด้านบุคลากร (Human Feasibility) - ดูความพร้อมของบุคลากร การพัฒนาบุคลากร
ขั้นตอนที่ 2. การวิเคราะห์ระบบ (Analysis)
               เป็นการศึกษาระบบการทำงานเดิม ความตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ กำหนดความต้องการระบงานใหม่นักวิเคราะห์ต้องดำเนินการดังนี้
1. ทบทวนวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการวิเคราะห์ระบบให้ชัดเจน
2. ศึกษาแนวทางที่ได้เสนอไว้ในรายงานการศึกษาเบื้องต้น
3. ศึกษาและรวบรวมเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับระบบ
แผนผังการจัดองค์กร (Organization Chart)
แผนงานของหน่วยงาน
เอกสารแบบฟอร์ม และรายงานต่าง ๆ ที่ใช้ในหน่วยงาน
กฎและระเบียบต่าง ๆ
4. ศึกษาความต้องการของผู้บริหาร
สัมภาษณ์ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน
สำรวจความต้องการโดยใช้แบบสอบถาม
5. ศึกษาสภาพการปฏิบัติงานจริง
ทำความเข้าใจเนื้อหาและรูปแบบของข้อมูลที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
ทำความเข้าใจทางเดินของข้อมูล (Data Flow)
ทำความเข้าใจกระบวนการทำงาน
ทำความเข้าใจในเรื่องการดูแลรักษาข้อมูล
6. จำแนกปัญหาในระบบปัจจุบัน
7.พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหา
8.ร่างเค้าโครงของระบบใหม่
9.คำนวณทรัพยากรต่าง ๆ
10.จัดทำรายงานการวิเคราะห์ระบบ
ขั้นตอนที่ 3. การออกแบบระบบ (Design)
               ออกแบบระบบใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้และฝ่ายบริหาร เป็นขึ้นตอนต่อจากการวิเคราะห์โดยทั่วไปการออกแบบระบบจะกระทำใน 2 ขั้นตอนดังนี้
การออกแบบโครงสร้างของระบบ (Conceptual Design) เป็นการกำหนดว่าระบบใหม่มีการทำงานอะไร
หรือเรียกว่า การออกแบบเชิงตรรกะ (Logical Design)
ทบทวนรายงานการวิเคราะห์ระบบ
แยกระบบงานรวมออกเป็นสองส่วนอย่างคร่าว ๆ
ออกแบบลำดับต่าง ๆ ของงาน
กำหนดส่วนที่คนและคอมพิวเตอร์ต้องทำงานประสานกัน
การออกแบบในรายละเอียด (Detail Design)
ออกแบบรายละเอียดต่าง ๆ ของระบบ
ออกแบบข้อมูลต่าง ๆ สำหรับใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของระบบ
ออกแบบรายละเอียดและเนื้อหาของการฝึกอบรมที่จำเป็น
จัดทำรายงานออกแบบ
ขั้นตอนที่ 4. การเขียนและทดสอบโปรแกรม (Construction)
               เป็นการเขียนและทดสอบโปรแกรมตามที่ได้ออกแบบไว้ ตามความต้องการของผู้ใช้ จะต้องมีลักษณะ
ทำงานได้ผลตรงกับความต้องการของผู้ใช้
ทำงานได้ถูกต้องไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน
เชื่อถือได้ แก้ไขดัดแปลงได้ง่าย
ขั้นตอนที่ 5. การทดสอบระบบ (Testing)
               เป็นการทดสอบระบบหลังจากเขียนโปรแกรมไปแล้ว เพื่อตรวจสอบความผิดพลาด มีวิธีการดังนี้
การทดสอบรวม (Integration Test) - ดูการเชื่อมโยงระหว่างโปรแกรม
การทดสอบทั้งระบบ (System Test) - ทดสอบตั้งแต่เริ่มโปรแกรม จนได้ผลลัพธ์
การทดสอบการยอมรับระบบ (Acceptance Test) - การให้ผู้ใช้ได้ใช้งาน
นอกจากนี้ยังมีงานต่าง ๆ ที่ต้องทำ คือ
1. การเตรียมเอกสารระบบ - คู่มือระบบและโปรแกรม คู่มือปฏิบัติงาน คู่มือผู้ใช้
2. การฝึกอบรมผู้ใช้ - เป็นการเตรียมการใช้งานให้กับบุคลากรในการใช้ระบบงานใหม่ มีหลายวิธี คือ
3.การฝึกอบรมโดยการจัดกลุ่มสัมมนา (Seminars and Group Instruction)
4.การฝึกอบรมวิธีปฏิบัติงาน (Procedural Training)
5.การฝึกอบรมโดยการบรรยาย (Tutorial Training)
6.การฝึกอบรมโดยการจำลองสถานการณ์ (Simulation)
7.การฝึกอบรมโดยการปฏิบัติงานจริง (On the job Training)
ขั้นตอนที่ 6. การเปลี่ยนระบบ (Conversion)
               การเปลี่ยนจากระบบงานเดิมมาเป็นระบบงานใหม่ที่ได้ออกแบบและพัฒนาเรียบร้อยแล้ว มี 4 วิธีการ คือ
1.การเปลี่ยนระบบทันที (Direct Conversion) เหมาะกับระบบเดิมที่ไม่มีประโยชน์ต่อองค์กรแล้ว
2.การเปลี่ยนระบบแบบคู่ขนาน (Parallel Conversion) เป็นการใช้ระบบเก่าและระบบใหม่พร้อมกัน
3.การเปลี่ยนแปลงระบบตามหน่วยงาน (Modular Conversion) หรือ หลักการแบบนำร่อง (Pilot Approach) เป็นการนำระบบไปใช้ในบางหน่วยงาน
4.การเปลี่ยนแปลงระบบที่ละส่วน (Phase-In Conversion) แบ่งตามส่วนระบบงาน
หลังการการพัฒนาระบบไปแล้ว อาจมีปัญหาต่าง ๆ ตามมา ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขกระทำได้ 2 วิธี คือ
1.การบำรุงรักษาระบบ (Maintenance)
2.การเปลี่ยนแปลงระบบทั้งหมด (redevelopment)

การบริหารโครงการพัฒนาระบบสารสนเทศ
               จะประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ คือ
1. การวางแผนโครงการ - เกี่ยวกับการจัดบุคลากรในโครงการ การงบประมาณ การกำหนดระยะเวลา และเป้าหมายการวางแผนโครงการจะต้องกำหนดทีมงานสำหรับพัฒนา ซึ่งอาจมีหลายระดับดังรูป









               หัวหน้าโครงการ เป็นผู้วางแผน ควบคุม สั่งการและติดตามให้งานพัฒนาระบบสารสนเทศดำเนินไปอย่างเรียบร้อยและได้ผลตามเป้าหมาย
               ผู้ปะสานโครงการ - ทำหน้าที่ติดต่อประสานงาน อำนวยความสะด้วยให้กับทีมงานพัฒนาระบบสารสนเทศ
               นักวิเคราะห์ระบบ - ทำการศึกษาความเหมาะสมของระบบงาน และศึกษาวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้
               นักเขียนโปรแกรม - ทำหน้าที่พัฒนาโปรแกรม และทำการทดสอบโปรแกรมและทดสอบระบบ
               วิศวกรสื่อสาร - กำหนดระบบสื่อสารข้อมูล การเชื่อมโยงอุปกรณ์ ระบบเครือข่าย
               พนักงานเอกสาร - จัดพิมพ์เอกสาร จัดหมวดหมู่เอกสารโครงการ เป็นเลขานุการ
2. การบริหารโครงการ - เป็นการจัดการให้บุคลากรในทีมงานดำเนินงานต่าง ๆ ตามขั้นตอน โดยมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาด้วยกันดังนี้
การกำหนดผลงานสำรับส่งมอบ - เป็นหน้าที่ของหัวหน้าโครงการที่ต้องกำหนดผลงานสำหรับส่งมอบให้แต่ละขั้นตอน
การมอบหมายงาน - หัวหน้าโครงการจะต้องแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ มอบหมายให้บุคคลเกี่ยวข้อง
การควบคุมการเปลี่ยนแปลง - หากไม่ทันกับการกำหนดไว้ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง
ความสัมพันธ์กับผู้ใช้ - การสร้างความรู้สึกอันดีต่อกัน ทำให้งานดำเนินไปได้ด้วยดี
การปิดโครงการ - เป็นขั้นตอนที่สิ้นสุดและส่งมอบงานต่าง ๆ
การพัฒนางานประยุกต์อย่างเร็ว
               (Rapid Application Development : RAD) เป็นการคิดค้นหาวิธีการในการพัฒนาระบบงานต่าง ๆ








               การกำหนดความต้องการ - เป็นการกำหนดหน้าที่และงานต่าง ๆ ภายในระบบ โดยผู้ใช้และบริหารร่วมสัมมนา
               การออกแบบโดยผู้ใช้ - ผู้ใช้มีส่วนในการออกแบบระบบที่ไม่ใช่ทางเทคนิคคอมพิวเตอร์ เช่น ฟอร์ม หน้าจอ
               การสร้างระบบ - โดยการใช้ตัวซอฟต์แวร์ประยุกต์อย่างเร็ว (RAD Software) ในการสร้างโปรแกรม
               การเปลี่ยนระบบ - ทำการทดสอบระบบให้เสร็จสิ้นก่อน ฝึกอบรม แล้วจึงมีการเปลี่ยนแปลง
เครื่องมือในการพัฒนาระบบงานอย่างเร็ว
               ภาษาในยุคที่ 4 เช่น ภาษา SQL (Structure Query Language) เป็นภาษาที่ใช้ในการสอบถามข้อมูลในโปรแกรมจัดการฐานข้อมูลต่าง ๆ
               เครื่องมือทำต้นแบบ (Prototyping Tool) เป็นเครื่องมือที่สร้างต้นแบบของงานได้อย่างรวดเร็ว ที่ช่วยในการกำหนดความต้อง การออกแบบ และขั้นตอนการสร้างระบบงาน
               เครื่องมือ CASE (Computer – Aided Software Engineering) เป็นซอฟต์แวร์ในการวาดแผนภาพต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการออกแบบระบบ
การพัฒนามาตราฐานของซอฟต์แวร์
               เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนกับผู้ใช้ ในการกำหนดมาตราฐานก็ควรจะมีการกำหนดทั้งในส่วนของโปรแกรมและเอกสาร เมื่อผู้ใช้งานระบบและผู้พัฒนาระบบ สามารถบำรุงรักษาระบบต่อไปในอนาคตได้ ประกอบด้วย
มาตราฐานของโปรแกรม - ประกอบไปด้วยรายละเอียด (Specification) เกี่ยวกับภาษาที่จะนำมาใช้ในการเขียนระบบงาน การเลือกใช้ภาษาที่เหมาะสม การใช้คำสั่งที่เป็นที่รู้จักทั่วไป การตั้งชื่อตัวแปรต่าง ๆ
มาตราฐานของเอกสารประกอบระบบ - (Document Standard) เป็นรายละเอียดทั้งหมดของเอกสารในระบบงาน เพื่อใช้ในการอ้างอิงกับระบบงาน เมื่อมีการแก้ไข ปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลง โดยทั่วไปจะประกอบด้วยเอกสาร 3 ชุด คือ
เอกสารประกอบการทำงานของผู้ใช้ (User Documentation) เป็นเอกสารแสดงวิธีใช้งานระบบ
เอกสารประกอบการทำงานของพนักงานปฏิบัติงานเครื่อง (Operator documentation)
               เป็นเอกสารที่บอกถึงขั้นตอนการทำงานของระบบ โดยส่วนมากจะนำเสนอในรูปแบบของแผนภูมิ
(Flow Chart)
                - เอกสารประกอบการทำงานของผู้เขียนโปรแกรม (Programmer documentation) เป็นคู่มือสำหรับ
ระบบงานที่ได้พัฒนาไปแล้ว อธิบายเกี่ยวกับรายละเอียดของโปรแกรมเทคนิคในการเขียน ตัวแปร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น