Assignment 10 >
จริยธรรมและความปลอดภัยของระบบสารสนเทศ
|
วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556
จริยธรรมและความปลอดภัย
วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556
ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์
ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์
16ก.ย.
ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์คือ ภาษาที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำคัญคือหากไม่มีภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากขาดชุดคำสั่งในการทำงาน
คอมพิวเตอร์จะสามารถทำงานได้จะต้องมีการเขียนโปรแกรมหรือซอร์ฟแวร์ เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานโปรแกรมต่าง ๆ ที่เขียนขึ้นมานั้น จะต้องเขียนไปตามกฎเกณฑ์ของภาษาที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ เรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์
1. ภาษาเครื่อง (Machine language)
2. ภาษาแอสเซมบลี (Assembly language)
3. ภาษาชั้นสูง (High-level language)หรือ ภาษารุ่นที่ 3 (3GL:Third Generation Language)
4. ภาษาชั้นสูงมาก (Very high-level language)หรือภาษารุ่นที่ 4 (4GL)
1. ภาษาเครื่อง (Machine language)
เป็นภาษาพื้นฐานที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ แต่ละคำสั่งประกอบขึ้นจากกลุ่มตัวเลข 0 และ 1 ซึ่งเป็นเลขฐานสอง
2. ภาษาแอสเซมบลี (Assembly language)
เป็นภาษาที่ใช้สัญลักษณ์ข้อความ แทนกลุ่มของตัวเลขฐานสอง เพื่อให้ง่ายต่อการเขียนและการจดจำมากขึ้น การทำงานของโปรแกรมจะต้องทำการแปลภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง โดยใช้ตัวแปลที่เรียกว่า แอสเซมเบลอร์ (Assembler)
3. ภาษาชั้นสูง (High-level language) ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น โดยมีลักษณะเหมือนกับภาษาอังกฤษทั่วไป ผู้เขียนไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับฮาร์แวร์แต่อย่างใด ภาษานี้จำเป็นต้องมีตัวแปลภาษาเครื่องเช่นกัน เรียกตัวแปลนี้ว่า คอมไพเลอร์ (compiler)หรือ อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter)อย่างใดอย่างหนึ่ง ตัวอย่างของภาษาชั้นสูง เช่น ภาษาปาสคาล ภาษาซี ภาษโคบอล ภาษเบสิก ภาษาฟอร์แทรน
ภาษาระดับสูง (High Level Languages)
ภาษาระดับสูง เป็นภาษาที่ง่ายต่อการเรียนรู้และการนำไปประยุกต์ใช้งาน สามารถทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างชนิดกันได้ โปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาระดับสูง จำเป็นต้องมีตัวแปลภาษาเพื่อให้เป็นภาษาเครื่องที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ โดยโปรแกรมแปลภาษามี 2 ประเภท คือ คอมไพเลอร์ และอินเตอร์พรีเตอร์ ตัวอย่างของภาษาระดับสูง ได้แก่
5.4.2.1 ภาษาฟอร์แทรน (Fortran Language)
FORTRAN ย่อมาจาก FORmula TRANslator เป็นภาษาระดับสูงภาษาแรกที่ได้มีการใช้อย่างแพร่หลาย เป็นภาษาที่ใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มินิคอมพิวเตอร์ และไมโครคอมพิวเตอร์ เหมาะกับงานคำนวณทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ที่มีการคำนวณมาก ๆ มีฟังก์ชันการคำนวณให้ผู้ใช้เลือกใช้ได้มาก เหมาะกับนักวิจัย นักสถิติ หรือวิศวกร
ข้อดี คือ คำสั่งส่วนใหญ่จะง่ายและสั้น โปรแกรมที่ถูกพัฒนาขึ้นบนเครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่งจะสามารถนำไปแก้ไขและใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์อีกประเภทหนึ่งได้ ข้อเสีย คือ ไม่เหมาะกับงานทางธุรกิจที่ต้องยุ่งเกี่ยวกับงานทางด้านการรับข้อมูลเข้า (Input) และข้อมูลออก (Output) ที่ต้องสร้างรายงานมากๆ หรืองานที่ต้องการเก็บข้อมูลเป็นไฟล์
5.4.2.2 ภาษาโคบอล (Cobol Language)
COBOL ย่อมาจาก Common Business – Oriented Language เนื่องจากภาษาฟอร์แทรนมีข้อจำกัด คือ ไม่เหมาะกับงานธุรกิจ ที่ต้องมีการออกรายงานมากๆ ภาษาโคบอลจึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้เหมาะกับงานธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลมาก ๆ เช่น งานธนาคาร หรือใช้สำหรับออกรายงานที่ซับซ้อนที่ต้องการความสวยงาม
ข้อดีของภาษาโคบอล คือ ไม่ขึ้นอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถเขียนโปรแกรมเพื่อใช้งานได้ทั้งบนไมโครคอมพิวเตอร์ มินิคอมพิวเตอร์ และเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ โดยอาจต้องแก้ไขโปรแกรมเพียงเล็กน้อย และยังสามารถจัดการเกี่ยวกับข้อมูลเข้า/ออก ได้ง่าย มีลักษณะใกล้เคียงกับภาษาอังกฤษ ทำให้เป็นภาษาที่อ่านและเข้าใจได้ง่าย และมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการเขียนโปรแกรม ส่วนข้อเสีย คือ มีความยาวในการเขียนโปรแกรมค่อนข้างมาก และเยิ่นเย้อ ไม่เหมาะกับการคำนวณที่ซับซ้อน
5.4.2.3 ภาษาเบสิค (BASIC Language)
BASIC ย่อมาจาก Beginner’s All-purpose Symbolic Instruction Code ภาษาเบสิคถูกพัฒนาเพื่อใช้ในการสอนนักศึกษา ปัจจุบันได้ขยายการใช้งานไปสู่งานทางธุรกิจอีกด้วย ภาษาเบสิคนิยมใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์และมินิคอมพิวเตอร์ สามารถเขียนโปรแกรมได้ง่ายและรวดเร็วกว่าภาษาอื่น เหมาะกับงานธุรกิจขนาดเล็ก และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มศึกษาการเขียนโปรแกรม
ลักษณะการทำงานของภาษาเบสิค เป็นแบบโต้ตอบ (Interactive) คือ ผู้ใช้สามารถ ติดต่อสื่อสารกับเครื่องได้ระหว่างที่มีการเขียนโปรแกรม และรันโปรแกรม ทำให้ผู้เขียนโปรแกรมสามารถพิมพ์โปรแกรมเข้าเครื่อง และแก้ไขข้อผิดพลาดได้ทันที เมื่อพบข้อผิดพลาด ข้อดีของภาษานี้คือ ง่ายต่อการเรียนรู้และสามารถใช้งานได้บนเครื่องทุกระดับ และยังสามารถถูกเขียนขึ้นเพื่อใช้ทำงานได้หลายประเภท ข้อเสีย คือ ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เกื้อหนุนต่อการเขียนโปรแกรมอย่างมีโครงสร้างที่ดี จึงไม่เหมาะในการพัฒนาโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่ เนื่องจากมีความเร็วในการประมวลผลค่อนข้างช้า
5.4.2.4 ภาษาปาสคาล (Pascal Language)
ภาษาปาสคาล ถูกพัฒนาขึ้นมาจากภาษา ALGOL – 60 ภาษาปาสคาลเป็นภาษาที่นิยมใช้กับเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มินิคอมพิวเตอร์ และไมโครคอมพิวเตอร์ นิยมนำมาใช้ใน การเรียน การสอนเขียนโปรแกรมเบื้องต้นในสถานศึกษาต่าง ๆ
ข้อดี คือ เป็นภาษาที่มีโครงสร้างที่ดีมาก สามารถเขียนโปรแกรมแบ่งเป็นโปรแกรมย่อยได้อย่างง่าย ทำให้การพัฒนาและแก้ไข ทำได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับผู้เริ่มต้นเขียนโปรแกรมอย่างมีโครงสร้าง และไม่จำกัดอยู่กับงานลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ส่วนข้อเสีย คือ ไม่เหมาะกับงานธุรกิจอย่างแท้จริง เพราะไม่สามารถจัดการกับข้อมูลที่มีปริมาณมาก ๆได้ดีเท่ากับโคบอล
5.4.2.5 ภาษาซี (C Language)
ภาษาซี เป็นภาษาที่นิยมใช้ในการเขียนโปรแกรมมาก เป็นภาษาระดับสูงที่มีประสิทธิภาพในการทำงานใกล้เคียงกับภาษาแอสแซมเบลอร์ เริ่มแรกการพัฒนาภาษาซีใช้เพื่อเขียนซอฟต์แวร์ระบบ แต่ปัจจุบัน สามารถใช้ในงานด้านต่าง ๆ มากมาย เช่น ระบบการจัดการฐานข้อมูล โปรแกรมทางธุรกิจ โปรแกรมสำเร็จรูป และสามารถสร้างกราฟิกได้
ข้อดีของภาษานี้ คือ ทำงานได้เร็วมากเมื่อเทียบกับภาษาอื่นๆ สามารถทำงานได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างประเภท โดยมีการคอมไพล์ใหม่ แต่ไม่ต้องแก้ไขโปรแกรมอย่างใด ส่วน ข้อเสีย คือ ยากที่จะเรียนรู้มากกว่าภาษาอื่น เนื่องจากลักษณะคำสั่งไม่มีรูปแบบที่แน่นอน และ ตรวจสอบโปรแกรมได้ยาก ไม่เหมาะจะใช้สร้างโปรแกรมที่ต้องมีการออกรายงานที่มีรูปแบบที่ ซับซ้อนมาก ๆ
4. ภาษาชั้นสูงมาก (Very high-level language)เป็นภาษาที่มีลักษณะคล้ายภาษาพูดตามปกติของมนุษย์ ภาษานี้จะช่วยให้การเขียนโปรแกรมเร็วมากขึ้นกว่าภาษาในรุ่นที่ 3 เนื่องจากมีเครื่องมือที่ช่วยในการสร้างแบบฟอร์มหน้าจอ เพื่อจัดการกับข้อมูลรวมไปถึงการออกรายงาน เมนูต่าง ๆ ตัวอย่างของภาษาชั้นสูงมากได้แก่ informix-4GL, MAGIC , Delphi , Power Builder ฯลฯ
คอมพิวเตอร์จะสามารถทำงานได้จะต้องมีการเขียนโปรแกรมหรือซอร์ฟแวร์ เพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานโปรแกรมต่าง ๆ ที่เขียนขึ้นมานั้น จะต้องเขียนไปตามกฎเกณฑ์ของภาษาที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ เรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์
1. ภาษาเครื่อง (Machine language)
2. ภาษาแอสเซมบลี (Assembly language)
3. ภาษาชั้นสูง (High-level language)หรือ ภาษารุ่นที่ 3 (3GL:Third Generation Language)
4. ภาษาชั้นสูงมาก (Very high-level language)หรือภาษารุ่นที่ 4 (4GL)
1. ภาษาเครื่อง (Machine language)
เป็นภาษาพื้นฐานที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ แต่ละคำสั่งประกอบขึ้นจากกลุ่มตัวเลข 0 และ 1 ซึ่งเป็นเลขฐานสอง
2. ภาษาแอสเซมบลี (Assembly language)
เป็นภาษาที่ใช้สัญลักษณ์ข้อความ แทนกลุ่มของตัวเลขฐานสอง เพื่อให้ง่ายต่อการเขียนและการจดจำมากขึ้น การทำงานของโปรแกรมจะต้องทำการแปลภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง โดยใช้ตัวแปลที่เรียกว่า แอสเซมเบลอร์ (Assembler)
3. ภาษาชั้นสูง (High-level language) ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เขียนโปรแกรมได้ง่ายขึ้น โดยมีลักษณะเหมือนกับภาษาอังกฤษทั่วไป ผู้เขียนไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับฮาร์แวร์แต่อย่างใด ภาษานี้จำเป็นต้องมีตัวแปลภาษาเครื่องเช่นกัน เรียกตัวแปลนี้ว่า คอมไพเลอร์ (compiler)หรือ อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter)อย่างใดอย่างหนึ่ง ตัวอย่างของภาษาชั้นสูง เช่น ภาษาปาสคาล ภาษาซี ภาษโคบอล ภาษเบสิก ภาษาฟอร์แทรน
ภาษาระดับสูง (High Level Languages)
ภาษาระดับสูง เป็นภาษาที่ง่ายต่อการเรียนรู้และการนำไปประยุกต์ใช้งาน สามารถทำงานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างชนิดกันได้ โปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาระดับสูง จำเป็นต้องมีตัวแปลภาษาเพื่อให้เป็นภาษาเครื่องที่คอมพิวเตอร์เข้าใจ โดยโปรแกรมแปลภาษามี 2 ประเภท คือ คอมไพเลอร์ และอินเตอร์พรีเตอร์ ตัวอย่างของภาษาระดับสูง ได้แก่
5.4.2.1 ภาษาฟอร์แทรน (Fortran Language)
FORTRAN ย่อมาจาก FORmula TRANslator เป็นภาษาระดับสูงภาษาแรกที่ได้มีการใช้อย่างแพร่หลาย เป็นภาษาที่ใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ชนิดเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มินิคอมพิวเตอร์ และไมโครคอมพิวเตอร์ เหมาะกับงานคำนวณทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ที่มีการคำนวณมาก ๆ มีฟังก์ชันการคำนวณให้ผู้ใช้เลือกใช้ได้มาก เหมาะกับนักวิจัย นักสถิติ หรือวิศวกร
ข้อดี คือ คำสั่งส่วนใหญ่จะง่ายและสั้น โปรแกรมที่ถูกพัฒนาขึ้นบนเครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่งจะสามารถนำไปแก้ไขและใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์อีกประเภทหนึ่งได้ ข้อเสีย คือ ไม่เหมาะกับงานทางธุรกิจที่ต้องยุ่งเกี่ยวกับงานทางด้านการรับข้อมูลเข้า (Input) และข้อมูลออก (Output) ที่ต้องสร้างรายงานมากๆ หรืองานที่ต้องการเก็บข้อมูลเป็นไฟล์
5.4.2.2 ภาษาโคบอล (Cobol Language)
COBOL ย่อมาจาก Common Business – Oriented Language เนื่องจากภาษาฟอร์แทรนมีข้อจำกัด คือ ไม่เหมาะกับงานธุรกิจ ที่ต้องมีการออกรายงานมากๆ ภาษาโคบอลจึงถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้เหมาะกับงานธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลมาก ๆ เช่น งานธนาคาร หรือใช้สำหรับออกรายงานที่ซับซ้อนที่ต้องการความสวยงาม
ข้อดีของภาษาโคบอล คือ ไม่ขึ้นอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถเขียนโปรแกรมเพื่อใช้งานได้ทั้งบนไมโครคอมพิวเตอร์ มินิคอมพิวเตอร์ และเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ โดยอาจต้องแก้ไขโปรแกรมเพียงเล็กน้อย และยังสามารถจัดการเกี่ยวกับข้อมูลเข้า/ออก ได้ง่าย มีลักษณะใกล้เคียงกับภาษาอังกฤษ ทำให้เป็นภาษาที่อ่านและเข้าใจได้ง่าย และมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการเขียนโปรแกรม ส่วนข้อเสีย คือ มีความยาวในการเขียนโปรแกรมค่อนข้างมาก และเยิ่นเย้อ ไม่เหมาะกับการคำนวณที่ซับซ้อน
5.4.2.3 ภาษาเบสิค (BASIC Language)
BASIC ย่อมาจาก Beginner’s All-purpose Symbolic Instruction Code ภาษาเบสิคถูกพัฒนาเพื่อใช้ในการสอนนักศึกษา ปัจจุบันได้ขยายการใช้งานไปสู่งานทางธุรกิจอีกด้วย ภาษาเบสิคนิยมใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์และมินิคอมพิวเตอร์ สามารถเขียนโปรแกรมได้ง่ายและรวดเร็วกว่าภาษาอื่น เหมาะกับงานธุรกิจขนาดเล็ก และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มศึกษาการเขียนโปรแกรม
ลักษณะการทำงานของภาษาเบสิค เป็นแบบโต้ตอบ (Interactive) คือ ผู้ใช้สามารถ ติดต่อสื่อสารกับเครื่องได้ระหว่างที่มีการเขียนโปรแกรม และรันโปรแกรม ทำให้ผู้เขียนโปรแกรมสามารถพิมพ์โปรแกรมเข้าเครื่อง และแก้ไขข้อผิดพลาดได้ทันที เมื่อพบข้อผิดพลาด ข้อดีของภาษานี้คือ ง่ายต่อการเรียนรู้และสามารถใช้งานได้บนเครื่องทุกระดับ และยังสามารถถูกเขียนขึ้นเพื่อใช้ทำงานได้หลายประเภท ข้อเสีย คือ ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เกื้อหนุนต่อการเขียนโปรแกรมอย่างมีโครงสร้างที่ดี จึงไม่เหมาะในการพัฒนาโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่ เนื่องจากมีความเร็วในการประมวลผลค่อนข้างช้า
5.4.2.4 ภาษาปาสคาล (Pascal Language)
ภาษาปาสคาล ถูกพัฒนาขึ้นมาจากภาษา ALGOL – 60 ภาษาปาสคาลเป็นภาษาที่นิยมใช้กับเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มินิคอมพิวเตอร์ และไมโครคอมพิวเตอร์ นิยมนำมาใช้ใน การเรียน การสอนเขียนโปรแกรมเบื้องต้นในสถานศึกษาต่าง ๆ
ข้อดี คือ เป็นภาษาที่มีโครงสร้างที่ดีมาก สามารถเขียนโปรแกรมแบ่งเป็นโปรแกรมย่อยได้อย่างง่าย ทำให้การพัฒนาและแก้ไข ทำได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับผู้เริ่มต้นเขียนโปรแกรมอย่างมีโครงสร้าง และไม่จำกัดอยู่กับงานลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ส่วนข้อเสีย คือ ไม่เหมาะกับงานธุรกิจอย่างแท้จริง เพราะไม่สามารถจัดการกับข้อมูลที่มีปริมาณมาก ๆได้ดีเท่ากับโคบอล
5.4.2.5 ภาษาซี (C Language)
ภาษาซี เป็นภาษาที่นิยมใช้ในการเขียนโปรแกรมมาก เป็นภาษาระดับสูงที่มีประสิทธิภาพในการทำงานใกล้เคียงกับภาษาแอสแซมเบลอร์ เริ่มแรกการพัฒนาภาษาซีใช้เพื่อเขียนซอฟต์แวร์ระบบ แต่ปัจจุบัน สามารถใช้ในงานด้านต่าง ๆ มากมาย เช่น ระบบการจัดการฐานข้อมูล โปรแกรมทางธุรกิจ โปรแกรมสำเร็จรูป และสามารถสร้างกราฟิกได้
ข้อดีของภาษานี้ คือ ทำงานได้เร็วมากเมื่อเทียบกับภาษาอื่นๆ สามารถทำงานได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างประเภท โดยมีการคอมไพล์ใหม่ แต่ไม่ต้องแก้ไขโปรแกรมอย่างใด ส่วน ข้อเสีย คือ ยากที่จะเรียนรู้มากกว่าภาษาอื่น เนื่องจากลักษณะคำสั่งไม่มีรูปแบบที่แน่นอน และ ตรวจสอบโปรแกรมได้ยาก ไม่เหมาะจะใช้สร้างโปรแกรมที่ต้องมีการออกรายงานที่มีรูปแบบที่ ซับซ้อนมาก ๆ
4. ภาษาชั้นสูงมาก (Very high-level language)เป็นภาษาที่มีลักษณะคล้ายภาษาพูดตามปกติของมนุษย์ ภาษานี้จะช่วยให้การเขียนโปรแกรมเร็วมากขึ้นกว่าภาษาในรุ่นที่ 3 เนื่องจากมีเครื่องมือที่ช่วยในการสร้างแบบฟอร์มหน้าจอ เพื่อจัดการกับข้อมูลรวมไปถึงการออกรายงาน เมนูต่าง ๆ ตัวอย่างของภาษาชั้นสูงมากได้แก่ informix-4GL, MAGIC , Delphi , Power Builder ฯลฯ
รูปแบบ โครงสร้างและการใช้งานภาษาคอมพิวเตอร์
โปรแกรมจะประกอบด้วยโครงสร้างหรือรูปแบบการทำงานที่เป็นโครงสร้างตรรกะเชิงควบคุม โดยมีโครงสร้างของคำสั่งที่คล้ายกันทั่วไปทุกคำสั่งจะมีคำสั่งพื้นฐานต่อไปนี้
1. คำสั่งการรับข้อมูลเข้า และการแสดงผล
2. คำสั่งการกำหนดค่า
3. คำสั่งการเปรียบเทียบเงื่อนไข
4. คำสั่งการทำซ้ำหรือการวนลูป
โปรแกรมจะประกอบด้วยโครงสร้างหรือรูปแบบการทำงานที่เป็นโครงสร้างตรรกะเชิงควบคุม โดยมีโครงสร้างของคำสั่งที่คล้ายกันทั่วไปทุกคำสั่งจะมีคำสั่งพื้นฐานต่อไปนี้
1. คำสั่งการรับข้อมูลเข้า และการแสดงผล
2. คำสั่งการกำหนดค่า
3. คำสั่งการเปรียบเทียบเงื่อนไข
4. คำสั่งการทำซ้ำหรือการวนลูป
โครงสร้างของคำสั่งในภาษาแอสแซมบลี
คำสั่งในภาษาแอสแซมบลี แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกกำหนดการทำงาน เรียกว่า OP-CODE (Operation Code) ส่วนที่สองเรียกว่า Operand มีหน้าที่กำหนดเกี่ยวกับข้อมูล
รูปแบบชุดคำสั่ง
• identifier คือชื่ออ้างอิงใช้ตั้งชื่อเพื่อเรียกถึงในภายหลัง (ถ้ามี)
• operation คือคำสั่ง
• operand คือตัวดำเนินการที่ต้องใช้ในคำสั่ง(ถ้ามี)
• ;comment คือคำอธิบายโปรแกรมจะต้องเขียนคำอธิบาย(ถ้ามี)ไว้หลังเครื่องหมายเซมิโคลอน
คำสั่งในภาษาแอสแซมบลี แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกกำหนดการทำงาน เรียกว่า OP-CODE (Operation Code) ส่วนที่สองเรียกว่า Operand มีหน้าที่กำหนดเกี่ยวกับข้อมูล
รูปแบบชุดคำสั่ง
• identifier คือชื่ออ้างอิงใช้ตั้งชื่อเพื่อเรียกถึงในภายหลัง (ถ้ามี)
• operation คือคำสั่ง
• operand คือตัวดำเนินการที่ต้องใช้ในคำสั่ง(ถ้ามี)
• ;comment คือคำอธิบายโปรแกรมจะต้องเขียนคำอธิบาย(ถ้ามี)ไว้หลังเครื่องหมายเซมิโคลอน
โปรแกรมในภาษาซี
จะประกอบด้วยฟังก์ชันอย่างน้อย หนึ่งฟังก์ชัน คือ ฟังก์ชัน main โดยโปรแกรมภาษาซีจะเริ่มทำงานที่ฟังก์ชัน main ก่อน ในแต่ละฟังก์ชันจะประกอบด้วย
1. Function Heading ประกอบด้วยชื่อฟังก์ชัน และอาจมีรายการของ argument (บางคนเรียก parameter) อยู่ในวงเล็บ
2. Variable Declaration ส่วนประกาศตัวแปร สำหรับภาษาซี ตัวแปรหรือค่าคงที่ทุกตัว ที่ใช้ในโปรแกรมจะต้องมีการประกาศก่อนว่าจะใช้งานอย่างไร จะเก็บค่าในรูปแบบใดเช่น interger หรือ real number
3. Compound Statements ส่วนของประโยคคำสั่งต่างๆ ซึ่งแบ่งเป็นประโยคเชิงซ้อน (compound statement) กับ ประโยคนิพจน์ (expression statment) โดยประโยคเชิงซ้อนจะอยู่ภายในวงเล็บปีกกาคู่หนึ่ง { และ } โดยในหนึ่งประโยคเชิงซ้อน จะมีประโยคนิพจน์ที่แยกจากกันด้วยเครื่องหมาย semicolon (;) หลายๆ ประโยครวมกัน และ อาจมีวงเล็บปีกกาใส่ประโยคเชิงซ้อนย่อยเข้าไปอีกได้
ภาษาคอมพิวเตอร์แต่ละภาษาจะมีข้อดี ข้อจำกัดและความเหมาะสมในการใช้งานแตกต่างกัน ดังนั้นในการพัฒนาโปรแกรมจึงต้องคำนึงถึงลักษณะงานที่ต้องการทำและภาษาคอมพิวเตอร์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะ
ภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม มีการคิดค้นขึ้นมาหลายภาษา เพื่อให้เหมาะสมกับการทำงานในแต่ละแบบ
-Pascal เหมาะสำหรับ การพัฒนาโปรแกรมเชิงวิทยาศาตร์ในระดับกลาง และ application ต่างๆ
-Basic เหมาะสำหรับการฝึก programming กับโปรแกรมที่ไม่มีความซับซ้อนมาก
-Cobol เหมาะสำหรับ การสร้างโปรแกรมทางธุระกิจที่กระชับสำหรับระบบทางธุระกิจ( ภาษานี้เป็นต้นเหตุของ y2k bug เพราะมีการนำไปใช้ในการย่อ วันที่)
-Fortran เหมาะสำหรับ การ programming การคำนวณต่างๆทางคณิตศาตร์
-C เหมาะสำหรับ การเขียนที่ต้องการความรวดเร็ว เล็ก และมีประสิทธิภาพ มีลักษณะเด่นคือสามารถติดต่อกับระดับ hardware ได้มีความใกล้เคียงกับภาษาเครื่องมากที่สุดรองจาก asmbly
การพัฒนาโปรแกรมมัลติมีเดีย
มัลติมีเดีย (Multimedia) หรือ สื่อหลายแบบ เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์ สามารถผสมผสานกันระหว่าง ข้อความ ข้อมูลตัวเลข ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียง ไว้ด้วยกัน ตลอดจน การนำเอาระบบโต้ตอบกับผู้ใช้ (Interactive) มาผสมผสานเข้าด้วยกัน
การพัฒนาโปรแกรมมัลติมีเดีย จะใช้คอมพิวเตอร์ในการพัฒนาและแสดงผลในลักษณะสื่อหลายชนิด เช่น ตัวหนังสือ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว และเสียงรวมกัน โดยมุ่งเน้นการโต้ตอบและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้เป็นสำคัญ
2. การพัฒนาโปรแกรมมัลติมีเดีย มีดังนี้
1) เทคโนโลยีมัลติมีเดียที่นำมาใช้ในคอมพิวเตอร์
2) ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่จำเป็นสำหรับงานด้านมัลติมีเดีย
3) ประโยชน์ของสื่อมัลติมีเดีย
องค์ประกอบของมัลติมีเดีย
จะประกอบด้วยฟังก์ชันอย่างน้อย หนึ่งฟังก์ชัน คือ ฟังก์ชัน main โดยโปรแกรมภาษาซีจะเริ่มทำงานที่ฟังก์ชัน main ก่อน ในแต่ละฟังก์ชันจะประกอบด้วย
1. Function Heading ประกอบด้วยชื่อฟังก์ชัน และอาจมีรายการของ argument (บางคนเรียก parameter) อยู่ในวงเล็บ
2. Variable Declaration ส่วนประกาศตัวแปร สำหรับภาษาซี ตัวแปรหรือค่าคงที่ทุกตัว ที่ใช้ในโปรแกรมจะต้องมีการประกาศก่อนว่าจะใช้งานอย่างไร จะเก็บค่าในรูปแบบใดเช่น interger หรือ real number
3. Compound Statements ส่วนของประโยคคำสั่งต่างๆ ซึ่งแบ่งเป็นประโยคเชิงซ้อน (compound statement) กับ ประโยคนิพจน์ (expression statment) โดยประโยคเชิงซ้อนจะอยู่ภายในวงเล็บปีกกาคู่หนึ่ง { และ } โดยในหนึ่งประโยคเชิงซ้อน จะมีประโยคนิพจน์ที่แยกจากกันด้วยเครื่องหมาย semicolon (;) หลายๆ ประโยครวมกัน และ อาจมีวงเล็บปีกกาใส่ประโยคเชิงซ้อนย่อยเข้าไปอีกได้
ภาษาคอมพิวเตอร์แต่ละภาษาจะมีข้อดี ข้อจำกัดและความเหมาะสมในการใช้งานแตกต่างกัน ดังนั้นในการพัฒนาโปรแกรมจึงต้องคำนึงถึงลักษณะงานที่ต้องการทำและภาษาคอมพิวเตอร์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะ
ภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม มีการคิดค้นขึ้นมาหลายภาษา เพื่อให้เหมาะสมกับการทำงานในแต่ละแบบ
-Pascal เหมาะสำหรับ การพัฒนาโปรแกรมเชิงวิทยาศาตร์ในระดับกลาง และ application ต่างๆ
-Basic เหมาะสำหรับการฝึก programming กับโปรแกรมที่ไม่มีความซับซ้อนมาก
-Cobol เหมาะสำหรับ การสร้างโปรแกรมทางธุระกิจที่กระชับสำหรับระบบทางธุระกิจ( ภาษานี้เป็นต้นเหตุของ y2k bug เพราะมีการนำไปใช้ในการย่อ วันที่)
-Fortran เหมาะสำหรับ การ programming การคำนวณต่างๆทางคณิตศาตร์
-C เหมาะสำหรับ การเขียนที่ต้องการความรวดเร็ว เล็ก และมีประสิทธิภาพ มีลักษณะเด่นคือสามารถติดต่อกับระดับ hardware ได้มีความใกล้เคียงกับภาษาเครื่องมากที่สุดรองจาก asmbly
การพัฒนาโปรแกรมมัลติมีเดีย
มัลติมีเดีย (Multimedia) หรือ สื่อหลายแบบ เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์ สามารถผสมผสานกันระหว่าง ข้อความ ข้อมูลตัวเลข ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียง ไว้ด้วยกัน ตลอดจน การนำเอาระบบโต้ตอบกับผู้ใช้ (Interactive) มาผสมผสานเข้าด้วยกัน
การพัฒนาโปรแกรมมัลติมีเดีย จะใช้คอมพิวเตอร์ในการพัฒนาและแสดงผลในลักษณะสื่อหลายชนิด เช่น ตัวหนังสือ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว และเสียงรวมกัน โดยมุ่งเน้นการโต้ตอบและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้เป็นสำคัญ
2. การพัฒนาโปรแกรมมัลติมีเดีย มีดังนี้
1) เทคโนโลยีมัลติมีเดียที่นำมาใช้ในคอมพิวเตอร์
2) ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่จำเป็นสำหรับงานด้านมัลติมีเดีย
3) ประโยชน์ของสื่อมัลติมีเดีย
องค์ประกอบของมัลติมีเดีย
มัลติมีเดียที่สมบูรณ์ควรจะต้องประกอบด้วยสื่อมากกว่า 2 สื่อตามองค์ประกอบ ดังนี้
ตัวอักษร
ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว
เสียง
การเชื่อมโยงแบบปฏิสัมพันธ์
วีดิทัศน์ เป็นต้น
ตัวอักษร
ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว
เสียง
การเชื่อมโยงแบบปฏิสัมพันธ์
วีดิทัศน์ เป็นต้น
เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับมัลติมีเดีย
1. เทคโนโลยีไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer Technology)
2. เทคโนโลยีจอภาพ (Screen Technology)
3. เทคโนโลยีอุปกรณ์นำเข้าและแสดงผลข้อมูล (Input&OutputDevice Technology)
4. เทคโนโลยีการเก็บบันทึกข้อมูล (Data Storage Technology)
5. เทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูล ( Data Compression Technology)
6. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เครือข่าย ( Computer Network Technology)
7. เทคโนโลยีซอฟต์แวร์ ( Software Technology)
1. เทคโนโลยีไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer Technology)
2. เทคโนโลยีจอภาพ (Screen Technology)
3. เทคโนโลยีอุปกรณ์นำเข้าและแสดงผลข้อมูล (Input&OutputDevice Technology)
4. เทคโนโลยีการเก็บบันทึกข้อมูล (Data Storage Technology)
5. เทคโนโลยีการบีบอัดข้อมูล ( Data Compression Technology)
6. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เครือข่าย ( Computer Network Technology)
7. เทคโนโลยีซอฟต์แวร์ ( Software Technology)
ส่วนประกอบพื้นฐานของมัลติมีเดียคอมพิวเตอร์
• ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer)
• เครื่องอ่านซีดีรอม (CD-ROM Drive)
• แผงวงจรเสียง (Sound Board)
• ลำโพงภายนอก (External Speaker)
• ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software
• ไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer)
• เครื่องอ่านซีดีรอม (CD-ROM Drive)
• แผงวงจรเสียง (Sound Board)
• ลำโพงภายนอก (External Speaker)
• ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software
เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาโปรแกรม
หลังจากที่เลือกภาษาที่จะใช้ในการพัฒนาโปรแกรมแล้ว การเลือกเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาโปรแกรมก็สำคัญเช่นกัน ถ้าเลือกเครื่องมือที่มีลักษณะเข้าใจยาก หาข้อผิดพลาดของโปรแกรมเมื่อเกิด Error ขึ้นยาก ก็จะทำให้ระยะเวลาการพัฒนาโปรแกรมใช้เวลานาน ในขั้นตอนนี้เราต้องเลือกสองสิ่งได้แก่
2.1 เลือกตัวแปลภาษา (Complier) ที่จะใช้
2.2 เลือกโปรแกรมที่ใช้เขียน Code (Editor) ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม
2.1 เลือกตัวแปลภาษา (Complier) ที่จะใช้
2.2 เลือกโปรแกรมที่ใช้เขียน Code (Editor) ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม
ลักษณะการใช้โปรแกรมสร้างสื่อมัลติมีเดีย
1) การพัฒนาเว็บเพจ
2) การทำการ์ตูน
3) การสร้างงาน 3D Animation
4) การสร้างภาพ Panorama 360 องศา บนอินเทอร์เน็ต
5) การสร้างและตกแต่งรูปภาพ
6) การสร้างงานนำเสนอ
7) การเรียนการสอน เช่น การสร้างคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)
การสร้างสื่อเพื่อนำเสนอข้อมูลนั้น สามารถนำเสนอข้อมูลได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษร ภาพ เสียง และอื่นๆ ทั้งนี้ในการนำเสนอนั้นสามารถนำเสนอข้อมูลได้หลายรูปแบบเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอบนจอภาพคอมพิวเตอร์ พิมพ์ออกแผ่นใส หรือแม้แต่การสร้างเอกสารเว็บที่สื่อผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
1) การพัฒนาเว็บเพจ
2) การทำการ์ตูน
3) การสร้างงาน 3D Animation
4) การสร้างภาพ Panorama 360 องศา บนอินเทอร์เน็ต
5) การสร้างและตกแต่งรูปภาพ
6) การสร้างงานนำเสนอ
7) การเรียนการสอน เช่น การสร้างคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)
การสร้างสื่อเพื่อนำเสนอข้อมูลนั้น สามารถนำเสนอข้อมูลได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษร ภาพ เสียง และอื่นๆ ทั้งนี้ในการนำเสนอนั้นสามารถนำเสนอข้อมูลได้หลายรูปแบบเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอบนจอภาพคอมพิวเตอร์ พิมพ์ออกแผ่นใส หรือแม้แต่การสร้างเอกสารเว็บที่สื่อผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
เทคโนโลยีมัลติมีเดียที่นำมาใช้ในคอมพิวเตอร์
เทคโนโลยีมัลติมีเดีย ได้เข้ามามีบาทเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งสามารถพิจารณาจากการพัฒนาคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นด้านสมรรถนะของซีพียู รวมทั้งประสิทธิ์ภาพของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในปัจจุบันนี้ ต่างก็พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของเทคโนโลยีมัลติมีเดียมากขึ้น เช่น
1) ความสามารถของโปรเซสเซอร์ที่สามารถปะมวลผลข้อมูลอย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับการคำนวณด้านคอมพิวเตอร์กราฟิกที่มีความซับซ้อนมากขึ้น
2) หน่วยความจำในเครื่องที่มีความเร็วสูงขึ้น และเพิ่มขยายได้มากขึ้น
3) การ์ดแสดงผลที่ช่วยให้แสดงภาพได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการแสดงผลสูง
4) จอภาพขนาดใหญ่
5) การ์ดเสียงและลำโพงที่สมบูรณ์แบบเทียบได้กับเครื่องเสียงราคาแพงๆ
6) อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความจุมากขึ้น เช่น ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น
เทคโนโลยีมัลติมีเดีย ได้เข้ามามีบาทเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งสามารถพิจารณาจากการพัฒนาคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นด้านสมรรถนะของซีพียู รวมทั้งประสิทธิ์ภาพของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในปัจจุบันนี้ ต่างก็พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของเทคโนโลยีมัลติมีเดียมากขึ้น เช่น
1) ความสามารถของโปรเซสเซอร์ที่สามารถปะมวลผลข้อมูลอย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับการคำนวณด้านคอมพิวเตอร์กราฟิกที่มีความซับซ้อนมากขึ้น
2) หน่วยความจำในเครื่องที่มีความเร็วสูงขึ้น และเพิ่มขยายได้มากขึ้น
3) การ์ดแสดงผลที่ช่วยให้แสดงภาพได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการแสดงผลสูง
4) จอภาพขนาดใหญ่
5) การ์ดเสียงและลำโพงที่สมบูรณ์แบบเทียบได้กับเครื่องเสียงราคาแพงๆ
6) อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีความจุมากขึ้น เช่น ฮาร์ดดิสก์ เป็นต้น
ประโยชน์ของมัลติมีเดีย
มัลติมีเดีย ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนเรามากยิ่งขึ้น โดยมีประโยชน์ ดังนี้
1. เสนอสิ่งเร้าให้กับผู้เรียน ได้แก่ เนื้อหา ภาพนิ่ง คำถาม ภาพเคลื่อนไหว
2. นำเสนอข่าวสารในรูปแบบที่ไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับ เช่น บทเรียนมัลติมีเดีย
3. สร้างสื่อเพื่อความบันเทิง
4. สร้างสื่อโฆษณา หรือประชาสัมพันธ์
มัลติมีเดีย ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนเรามากยิ่งขึ้น โดยมีประโยชน์ ดังนี้
1. เสนอสิ่งเร้าให้กับผู้เรียน ได้แก่ เนื้อหา ภาพนิ่ง คำถาม ภาพเคลื่อนไหว
2. นำเสนอข่าวสารในรูปแบบที่ไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับ เช่น บทเรียนมัลติมีเดีย
3. สร้างสื่อเพื่อความบันเทิง
4. สร้างสื่อโฆษณา หรือประชาสัมพันธ์
การพัฒนาโปรแกรม
การพัฒนาโปรแกรม
ผลการเรียนรู้
1. อธิบายวงจรการพัฒนาโปรแกรมได้ 2. มีทักษะในการสร้างผังงานอย่างง่ายได้ 3. มีเจตคติที่ดีต่อการพัฒนาโปรแกรม |
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ วงจรการพัฒนาโปรแกรม การวิเคราะห์ปัญหา การออกแบบโปรแกรม |
การเขียนโปรแกรม การทดสอบโปรแกรม การบำรุงรักษาโปรแกรม |
คือชุดคำสั่งที่ใช้สั่งงานและควบคุมระบบคอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ การที่จะเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขึ้นมาจะต้องพิจารณาจากระบบงานอย่างละเอียดของข้อมูลนำเข้า ที่มาของข้อมูลนำเข้า ข้อมูลที่ต้องการแสดงผล และรูปแบบการแสดงผล
|
วงจรการพัฒนาโปรแกรม (Program Development Life Cycle: PDLC)
วงจรการพัฒนาโปรแกรม (PDLC) คือ ขั้นตอนการทำงานที่โปรแกรมเมอร์ใช้สำหรับสร้างโปรแกรม ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังนี้
|
1. การวิเคราะห์ปัญหา (Problem Analysis) เป็นขั้นตอนแรกของวงจรการพัฒนาโปรแกรม ซึ่งเป็นการศึกษาถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและค้นหาสิ่งที่ต้องการ เพื่อพิจารณาสิ่งต่อไปนี้
ตัวอย่าง ถ้าต้องการสร้างโปรแกรมที่มีการนำตัวเลขเข้ามา 5 ตัว และให้แสดงผลเป็นค่าเฉลี่ยบนจอภาพ ข้อมูลนำเข้า คือ ตัวเลข 5 ตัว เช่น 2 3 4 5 6 การประมวลผล คือ คำนวณหาค่าเฉลี่ย เช่น (2+3+4+5+6)/5 การแสดงผล คือ แสดงค่าเฉลี่ยผ่านทางจอภาพ เช่น 15.2 |
2. การออกแบบโปรแกรม (Program Design) เป็นขั้นตอนที่ 2 ของวงจรการพัฒนาโปรแกรมซึ่งการออกแบบโปรแกรมเป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เครื่องมือช่วยในการออกแบบ เช่น ผังงาน (Flowchart) รหัสจำลอง (Pseudo code) เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจขั้นตอนการทำงานของโปรแกรมได้ดียิ่งขึ้น
ผังงาน (Flowchart) เป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่ใช้รูปภาพแสดงถึงขั้นตอนการเขียนโปรแกรมและมีลูกศรแสดงทิศทางการไหลของข้อมูลจากจุดเริ่มต้นถึงจุดเส้นสุด
เช่น
START Read SIDE1, SIDE2, HEIGHT Compute AREA = ((SIDE1 + SIDE2)*HEIGHT)/2 Print AREA STOP |
3. การเขียนโปรแกรม (Program Coding) ซึ่งเป็นขั้นตอนหลังจากที่ได้มีการออกแบบโปรแกรมแล้ว ขั้นตอนนี้เป็นการเขียนโปรแกรมด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ เช่น ภาษา C ,ภาษา Pascal เป็นต้น ทั้งนี้แต่ละภาษาจะมีความเหมาะสมในการใช้งานแตกต่างกันออกไป |
4. การทดสอบโปรแกรม (Program Testing) เป็นการนำโปรแกรมที่ลงรหัสแล้วเข้าคอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจสอบรูปแบบกฎเกณฑ์ของภาษา และผลการทำงานของโปรแกรมนั้น ถ้าพบว่ายังไม่ถูกก็แก้ไขให้ถูกต้อง ซึ่งการเกิด Error ของโปรแกรมมักมีมาจาก 2 สาเหตุเท่านั้น คือ 1. Syntax Error คือ ข้อผิดพลาดที่เกิดจากการเขียนโค้ดคำสั่ง (Source Code) ที่ไม่ตรงกับ...ไวยากรณ์ (Syntax) ของภาษาโปรแกรมมิ่งนั้นๆ 2. Logic Error เป็นข้อผิดพลาดที่เกิดจากการออกแบบอัลกอริทึมให้ทำงานผิดวัตถุประสงค์ |
ข้อผิดพลาดของโปรแกรม เรียกว่า “Bug” ส่วนการแก้ไขข้อผิดพลาด เรียกว่า “Degug” โปรแกรมที่ทำงานไม่ได้ตามวัตถุประสงค์ เรียกว่ามี “Error” |
5. การบำรุงรักษาโปรแกรม (Program Maintenance) เมื่อโปรแกรมผ่านการตรวจสอบตามขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว และถูกนำมาให้ผู้ใช้ได้ใช้งาน ในช่วงแรกผู้ใช้อาจจะยังไม่คุ้นเคยก็อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาบ้าง ดังนั้นจึงต้องมีผู้คอยควบคุมดูแลและคอยตรวจสอบการทำงาน การบำรุงรักษาโปรแกรมจึงเป็นขั้นตอนที่ผู้เขียนโปรแกรมต้องคอยเฝ้าดูและหาข้อผิดพลาดของโปรแกรมในระหว่างที่ผู้ใช้ใช้งานโปรแกรม และปรับปรุงโปรแกรมเมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้น หรือในการใช้งานโปรแกรมไปนานๆ ผู้ใช้อาจต้องการเปลี่ยนแปลงการทำงานของระบบงานเดิมเพื่อให้เหมาะกับเหตุการณ์ นักเขียนโปรแกรมก็จะต้องคอยปรับปรุงแก้ไขโปรแกรมตามความต้องการของผู้ใช้ที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง |
ประวัติหาดเจ้าหลาว
|
ประวัติหาดป่าตอง
|
ประวัติหาดใหญ่
อำเภอหาดใหญ่ :: ประวัติความเป็นมาของอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดสงขลา
อำเภอหาดใหญ่
ประวัติความเป็นมาของอำเภอหาดใหญ่
ที่มาของชื่อหาดใหญ่ มีการเล่าสู่กันฟังเป็น ๒ นัย คือ มีหมู่บ้านตั้งอยู่ริมหาดทรายคลองอู่ตะเภาซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของที่ว่าการอำเภอหาดใหญ่ในปัจจุบัน เป็นหาดทรายที่ค่อนข้างใหญ่ และมีแห่งเดียวที่ริมคลองนี้ประชาชนนิยมขุดขนทรายไปก่อสร้างบ้านเรือนแต่ทรายที่หาดแห่งนี้ไม่มีวันหมด หมู่บ้านนี้จึงเรียกกันว่า "หาดใหญ่" ตามหาดทรายใหญ่แห่งนี้
ส่วนอีกนัยหนึ่งกล่าวว่าหมู่บ้านหาดใหญ่ที่เรียกกันปัจจุบันนี้ว่า "หาดใหญ่ใน" มีต้นมะหาดขนาดใหญ่ชาวบ้านจึงเรียกหมูบ้านบริเวณนี้ตามต้นมะหาดใหญ่ว่า "หาดใหญ่" (ชาวปักษ์ใต้นี้ลดคำพูดหลายพยางค์ เหลือน้อยพยางค์ที่สุด) และต้นมะหาดดังกล่าวในปัจจุบันไม่มีแล้วเพราะได้ล้มตายไปตามเวลา
ประวัติอำเภอหาดใหญ่
เป็นชื่อรวมของบ้านหาดใหญ่และหมู่บ้านโคกเสม็ดชุน ซึ่งหมู่บ้านโคกเสม็ดชุนนี้เดิมเป็นเนินสูงมีผู้อาศัยอยู่เบาบางการคมนาคมไม่สะดวกและมีป่าต้นเสม็ดชุนอยู่มากมาย เมื่อทางราชการได้ตัดทางรถไฟมาถึงหมู่บ้านซึ่งมีประชาชนอพยพมาตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอยู่มากขึ้น สมัยนั้นสถานีรถไฟตั้งอยู่ที่สถานีอู่ตะเภา (อยู่ด้านเหนือของสถานีชุมทางหาดใหญ่ ปัจจุบันเป็นเพียงที่หยุดรถไฟ) เนื่องจากสถานีอู่ตะเภาเป็นที่ลุ่มน้ำท่วมบ่อย ทางการรถไฟจึงได้ย้ายสถานีเสียใหม่ไปอยู่ที่สถานีชุมทางหาดใหญ่ในปัจจุบัน เพราะเป็นที่เหมาะสมกว่าและเป็นเนินสูงน้ำท่วมไม่ถึง ประชาชนได้ทยอยติดตามกันไปสร้างบ้านเรือนอยู่บริเวณนั้นเอง ฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่ากิจการรถไฟมีผลต่อการขยับขยายและความเจริญก้าวหน้าของอำเภอหาดใหญ่ตลอดมา
ต่อมาได้มีผู้เห็นการณ์ไกลว่าบริเวณสถานีรถไฟหาดใหญ่แห่งนี้ต่อไปภายหน้าจะต้องเจริญก้าวหน้าอย่างแน่นอน จึงได้มีการจับจองซื้อที่ดินแปลงใหญ่จากราษฎรเป็นจำนวนมาก บุคคลที่ได้ครอบครองที่ดินป่าเสม็ดชุนนี้ เช่น นายเจียซีกี (ต่อมาได้รับพระราชทินนามเป็นขุนนิพัทธจีนนคร) คุณพระเสน่หามนตรี นายซีกิมหยง พระยาอรรถกระวีสุนทร ซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้วทั้งหมด นับว่าทั้ง ๔ ท่านนี้เป็นบุคคลที่มีส่วนร่วมสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าให้แก่หาดใหญ่อย่างแท้จริง คือได้ตัดถนนสร้างอาคารบ้านเรือนให้ราษฎร เช่น ตัดที่ดินแบ่งขาย ตัดถนนสายใหม่ ฯลฯ
ชุมชนหาดใหญ่เติบโตอย่างรวดเร็ว จนทางราชการต้องยกฐานะจาก "บ้านหาดใหญ่" เป็นอำเภอ มีชื่อว่า "อำเภอหาดใหญ่" มีนายอำเภอของอำเภอเหนือคนแรกคือ หลวงภูวนารถบุรานุรักษ์ (อ่อน เศวตนันทน์) ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๖๐ ได้เปลี่ยนชื่อจาก "อำเภอเหนือ" เป็น "อำเภอหาดใหญ่" นายอำเภอคนแรกของอำเภอหาดใหญ่คือ คุณพระเสน่หามนตรี (ชื่น สุคนธหงส์) และในปี พ.ศ.๒๔๙๐ อำเภอนี้ก็ได้ยกฐานะเป็นอำเภอชั้นเอก
สภาพทางภูมิศาสตร์
ที่ตั้ง อำเภอหาดใหญ่ ตั้งอยู่ระหว่างเส้นรุ้งที่ ๗ เหนือ เส้นแวงที่ ๑๐๐° ๒๕´ ตะวันออก
อาณาเขต : อาณาเขตของอำเภอหาดใหญ่มีดังนี้ คือ
- ทิศเหนือ ติดต่อกับทะเลสาบสงขลา เขตอำเภอเมืองสงขลาและอำเภอรัตภูมิ
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ เขตอำเภอเมืองสงขลา และอำเภอจะนะ
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับ เขตอำเภอรัตภูมิ และเขตกิ่งอำเภอคลองหอยโข่ง
- ทิศใต้ ติดต่อกับ เขตอำเภอสะเดา และอำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา
ลักษณะภูมิอากาศ
หาดใหญ่ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทยเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ทะเล อากาศจึงไม่ร้อนจัดไม่หนาวจัด พื้นที่โดยทั่วไปเป็นที่ราบสูง มีภูเขา ป่าไม้ พื้นที่ค่อยๆลาดต่ำลงทางทิศเหนือที่จดกับทะเลสาบสงขลา ส่วนในบริเวณตัวเมืองและรอบๆพื้นที่เป็นที่ราบลุ่มกว้างใหญ่ ปกติฝนตกน้ำไม่ท่วม นอกจากฝนตกติดต่อกันหลายวันเป็นเหตุให้น้ำจากอำเภอสะเดา ซึ่งไหลผ่านคลองอู่ตะเภา ทำให้เกิดน้ำท่วมในที่ลุ่มทั่วๆไป
ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม : ส่วนใหญ่เป็นประเพณีพื้นเมืองที่เกี่ยวกับศาสนาและกีฬาพื้นเมือง ได้แก่ ประเพณีทำบุญวันสารทเดือนสิบ ซึ่งเป็นกิจกรรมทางพุทธศาสนาที่จัดขึ้นที่วัด มีปีละ ๒ ครั้ง ครั้งแรกในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ซึ่งเรียกว่าพิธีรับเปรต ส่วนครั้งที่ ๒ นั้นทำกันในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ เรียกว่าพิธีส่งเปรต (ทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว) เป็นความเชื่อถือที่ว่าเป็นการทำบุญที่บรรพบุรุษของเรามาร่วมรับเอาส่วนบุญกุศลได้มาก
สำหรับประเพณีที่ได้รับการส่งเสริมขึ้นในปัจจุบัน ประเพณีวันไหว้พระจันทร์และวันตรุษจีนของประชาชนชาวเชื้อสายจีน
- ประเพณีชักพระ : ปัจจุบันนี้เห็นว่ามีรถสะดวกก็ได้มีการประดับตกแต่งรถยนต์ให้เป็นรูปเรือ มีการประกวดความสวยงามและความคิดกันด้วย โดยเฉพาะที่จังหวัดสงขลามีการชุมชนเรือพระและประกวดกันเป็นประจำทุกปี
- ประเพณีลอยกระทง : จัดขึ้นในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นประเพณีที่ทำเช่นเดียวกับการลอยกระทงในภาคต่างๆ ของประเทศไทย ที่หาดใหญ่จัดทำขึ้นที่สวนสาธารณะเทศบาลเมืองหาดใหญ่ และที่วัดหาดใหญ่ ซึ่งอยู่ใกล้คลองอู่ตะเภา
- โนรา : เป็นการแสดงของภาคใต้ที่มีแบบฉบับบทกลอน การร่ายรำ ตลอดจนลักษณะเครื่องแต่งกาย ดนตรี เป็นเอกลักษณ์ และมีการถ่ายทอดกันมานับหลายชั่วคน
- หนังตะลุง : เป็นมหรสพพื้นเมืองที่ประกอบด้วยความสามารถในการใช้รูปหนังตะลุง ซึ่งทำมาจากหนังโคแห้ง มาดำเนินเรื่องราวบนจอผ้าขาว โดยใช้โวหารปราชญ์ เข้ามาประกอบในการเชิดและเสียงดนตรีเป็นสำคัญ และหนังบางคณะสามารถแทรกเรื่องราวสะท้อนสภาพสังคมได้อย่างน่าชมเชยยิ่ง ซึ่งผู้มาหาดใหญ่ก็สามารถชมได้ในฤดูกาลรื่นเริง หรืองานเทศกาลทางศาสนา
- การชนโค : สัญลักษณ์ของการต่อสู้ที่เข้มข้น มุทะลุดุดัน ถึงเลือดถึงเนื้อของชาวปักษ์ใต้ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเกินไปเสียยิ่งกว่าการชนโค โดยการนำโคที่เจ้าขิงนำมาเปรียบเทียบขนาดกันนำมาทำการชนกันเพื่อการพนันและสนุกสนานนับเป็นกีฬาที่อาคันตุกะของหาดใหญ่ ทั้งชาวไทยและต่างประเทศนิยมกันมาก
สถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ
- น้ำตกโตนงาช้าง เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสงขลา อยู่ในเขตท้องที่อำเภอหาดใหญ่ ตำบลทุ่งตำเสา มีน้ำตกหลายชั้นไหลลงมาตามหน้าผาที่เขียวชอุ่มด้วยหมู่แมกไม้วันสุดสัปดาห์ชาวเมือง มักจะชวนกันเดินทางไปเที่ยวที่นี่มาก
- สวนสาธารณะของเทศบาลเมืองหาดใหญ่ ตั้งอยู่ใกล้สนามกอล์ฟคอหงส์ คายเสนาณรงค์ มีบริเวณกว้างขวาง มีภูเขา มีสระน้ำหรืออ่างเก็บน้ำ ทำให้ทางน้ำตกในฤดูมีน้ำมาก มีสัตว์เลี้ยง อากาศดี เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจในยามว่าง
- สนามกอล์ฟ อยู่ริมถนนสายกาญจนวนิช ห่างจากหาดใหญ่ประมาณ ๕ กิโลเมตร ในบริเวณค่ายเสนาณรงค์ เปิดตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๗
- โรงแรมและศูนย์การค้า โรงแรมเป็นส่วนสำคัญสำหรับการส่งเสริมการท่องเที่ยวในฐานะที่เมืองชุมทาง หาดใหญ่เป็นเมืองที่ใหญ่และทันสมัยที่สุดของภาคใต้
บุคคลสำคัญในอดีต
อำเภอหาดใหญ่ตั้งแต่อดีต ชื่อว่าอำเภอเหนือ บุคคลแรกที่ดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอเหนือ คือ "หลวงภูวนาถบุราณุรักษ์" (อ่อน เศวตนันท์) ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๔๗-๒๔๕๐ นายอำเภอแต่ละท่านได้ปฏิบัติราชการในตำแหน่งและได้กระทำคุณงามความดีมีประโยชน์แก่ท้องถิ่นและประเทศชาติทั้งสิ้น แต่ที่จะกล่าวเป็นพิเศษถึงบุคคลสำคัญในอดีตของอำเภอหาดใหญ่ ผู้รวบรวมขอกล่าวถึงประวัติบุคคลไว้เพียง ๒ ท่าน คือ พระเสน่หามนตรี (ชื่น สุคนธหงส์) และเจียกีซี (ขุนนิพัทธ์จีนนคร)
๑. คุณพระเสน่หามนตรี
คุณพระเสน่หามนตรี มารับราชการอยู่ที่อำเภอหาดใหญ่ ในตำแหน่งนายอำเภอคนที่ ๔ ระหว่าง พ.ศ.๒๔๕๗-๒๔๖๔ ซึ่งอำเภอหาดใหญ่เดิมเรียกว่า "นายอำเภอเหนือ" หมายถึงอำเภอที่กันดาร คนในจังหวัดมักพูดดูหมื่นบุคคลว่า "ชาวเหนือ" คู่กับใช้คำพูดกับคนที่อยู่ระหว่างทะเลสาบกับทะเลหลวง คือ ท้องถิ่นระโนด สทิงพระ เป็นต้นว่า "ชาวบก" ซึ่งความหมายของคำทั้งสองนี้คือ คนที่อยู่ห่างไกลความเจริญนั้นเอง เมื่อคุณพระเสน่หามนตรี (สมัยที่เป็นหลวงทิพย์กำแหงสงคราม) ได้รับราชการเป็นนายอำเภอก็เปลี่ยนชื่ออำเภอเหนือนี้เป็น อำเภอหาดใหญ่ และคุณพระก็ได้เลื่อนตำแหน่งจากหลวงขึ้นเป็นพระ ถ้าจะมีคำถามว่าใครเป็นนายอำเภอเหนือคนสุดท้ายก็ต้องตอบว่า คุณพระเสน่หามนตรี หรือจะถามว่าใครเป็นนายอำเภอหาดใหญ่คนแรก ก็ต้องตอบว่า คุณพระเสน่หามนตรีเหมือนกัน
ความเจริญจากอำเภอเหนือมาเป็นอำเภอหาดใหญ่ ก็ในสมัยพระเสน่หามนตรีเป็นนายอำเภอ สมัยนั้นถนนจากอำเภอหาดใหญ่มี ๒ สาย สายหนึ่งจากอำเภอไปสถานีรถไฟชุมทางอู่ตะเภา (ปัจจุบันเป็นป้ายที่จอดรถหยุด) อีกสายหนึ่งจากอำเภอหาดใหญ่ไปถนนใหญ่ ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่า ถนนไทรบุรี ปัจจุบันคือถนนกาญจนวนิช (สี่แยกโรงเรียนบ้านคลองหวะปัจจุบัน) สายที่ออกไปถนนใหญ่สายนี้มีทางแยกตรงบ้านท่าเตียนไปถึงวัดคลองเรียน ซึ่งเป็นทางที่ข้าราชการและประชาชนไปทำบุญที่วัด นับเป็นทางที่ใกล้อำเภอมากที่สุด ความเจริญจุดใหญ่ที่ปรากฏอยู่ปัจจุบันนี้หรือขยายในอนาคตต่อไปนั้น ขอให้เข้าใจว่าจุดแรกที่เป็นจุดบุกเบิกจากที่ดินจำนวน ๕๐ ไร่ ซึ่งคุณพระซื้อไว้ในราคาประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ บาท ในสมัย ๓๐-๕๐ ปีก่อนนั้น ได้เจริญเติบโตกลายเป็นศูนย์กลางค้าของเมืองหาดใหญ่ที่หนาแน่นไปด้วยอาคารร้านค้า ศูนย์การค้า และโรงแรมหลายแห่ง
๒. เจียกีซี หรือ ขุนนิพัทธ์จีนนคร
เจียกีซี เดินทางมาจากประเทศจีนและได้โอกาสเดินทางมาภาคใต้ เมื่อสมัยของรัชกาลที่ ๕ เมื่อรัชกาลที่ ๕ มีพระบรมราชโองการเหนือเกล้าฯ ให้สร้างทางรถไฟสายเพชรบุรีจนสุดชายแดนภาคใต้ เจียกีซี ซึ่งมีนิสัยชอบการผจญภัยอยู่แล้วก็สมัครเข้าทำงานกับบริษัทเหมาสร้างทางรถไฟ ลักษณะเป็นผู้ตรวจการ คนงานสร้างทางรถไฟส่วนมากเป็นชาวจีนแคะและชาวแต้จิ๋วจากกวางตุ้ง
เจียกีซีไปมาหาดใหญ่บ่อยครั้งและพิจารณาเห็นว่าหาดทรายที่เกิดขึ้นนี้เพราะเป็นที่รวมของแม่น้ำสายเล็กๆ สามสายรวมกันกว้างใหญ่ทุกๆ ปี ชาวบ้านเรียกว่าท้องที่หมู่บ้านหาดทราย เมื่อยังไม่มีชื่อตำบลหาดใหญ่ รถไฟสายผ่านหาดทรายนี้ก็เกิดปัญหาว่าตำบลนี้ควรจะตั้งสถานีนี้ว่าอย่างไร ปลัดเทศาภิบาลได้เชิญเจียกีซี นายไปรษณีย์และข้าราชการหลายท่านมาปรึกษากันว่าควรจะให้ชื่อสถานีนี้ว่าอย่างไร เจียกีซีเสนอขอให้ตั้งชื่อ "สถานีหาดใหญ่" ที่ประชุมก็เห็นด้วย เป็นอันว่าด้วยนี้เป็นชื่อที่เจียกีซี หรือขุนพิทักษ์จีนนครเป็นผู้เสนอให้ตั้งชื่อนี้ด้วย
เจียกีซีได้พิจารณาเห็นหลักการณ์ไกลจึงได้ซื้อที่ดินรอบๆ สถานีจำนวน ๕๐ ไร่ ซึ่งในครั้งนั้นเป็นจำนวนเงินเพียง ๑๗๕ บาท ที่จริงก็ไม่มีค่าสำหรับเวลานั้นเลย เพราะอำเภอหาดใหญ่ก็มีเพียงหาดทรายเปล่าๆ นายอำเภอหาดใหญ่ก็มีความคิดเห็นเช่นเดียวกับเจียกีซี ก็ซื้อที่ดิน ๕๐ ไร่ ในราคา ๒๐๐ บาท แล้วเจียกีซีก็สร้างห้องแถวขึ้น ๕ ห้อง นอกจากนี้ยังซื้อที่ดินออกไปอีกหลายร้อยไร่ เป็นบริเวณกว้างขวางรอบเมืองหาดใหญ่ เมื่อความเจริญได้เริ่มต้นท่านก็ได้ตัดถนนในพื้นที่อุทิศให้แก่รัฐบาลไป ปัจจุบันคือถนนนิพัทธ์อุทิศ ๑-๒-๓ อันเป็นถนนหลักของเมืองหาดใหญ่ แต่มิใช่ว่าพื้นที่ทั้งหมดของหาดใหญ่เป็นของขุนนิพัทธจีนนครแต่เพียงผู้เดียว เพราะท่านขุนได้แบ่งขายที่ดินให้แก่ผู้มาตั้งรกรากอีกมากมายให้ได้ช่วยกันลงทุนปรับปรุงที่ดินให้เจริญขึ้น
นี่เป็นเคล็ดลับแห่งความสำเร็จในชีวิตของขุนนิพัทธจีนนคร ผู้สร้างเมืองหาดใหญ่อีกท่านหนึ่ง
ประวัติแม่รำพึง
ตำนานหาดแม่รำพึง
หาดแม่รำพึง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดระยอง อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 11 กิโลเมตร จากถนนสุขุมวิท มีทางแยกขวาที่กิโลเมตร 229 เลียบเข้าชายหาด เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ เขาแหลมหญ้า ตั้งอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยาน 500 เมตร ห่างจาก บ้านเพประมาณ 6 กิโลเมตร ตัวหาดทรายขาวสะอาดอยู่ฝั่งแผ่นดินใหญ่ ถือเป็นหาดที่ยาวที่สุดของฝั่งทะเลด้านตะวันออก มีความยาว 12 กิโลเมตร สุดหาดเป็นที่ตั้งของบ้านก้นอ่าวอันเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมงพื้น บ้าน ในอดีตบ้านก้นอ่าวเป็นหมู่บ้านที่ไกลที่สุด และมีลักษณะเป็นอ่าวเล็กๆ จึงเรียกกันว่า บ้านก้นอ่าว ถนนเลียบชายหาดมีความยาว 10 กิโลเมตร มีที่พักและร้านอาหารทะเลมากมายไว้บริการนักท่องเที่ยว จุดชมวิวที่น่าสนใจ แห่งหนึ่งของหาดแม่รำพึงคือ ลานหินขาว ตั้งอยู่ระหว่างกลางของหาด มีการจัด วางสวนหินไว้อย่างสวยงาม ไว้สำหรับนั่งพักผ่อน โดยเฉพาะยามเย็นจะเห็นนักท่องเที่ยวแวะมานั่ง เล่นมากมายรวมทั้งชาวบ้านในแถบนี้เองด้วย ตำนานของหาดแม่รำพึงมาจากนิยายท้องถิ่นของจังหวัด เรื่อง ตาม่องล่าย ตาม่องล่าย เป็นชาวพม่า มีเมียชื่อยายท้าว มีลูกสาวชื่อยมโดย ยมโดยเป็นสาวสวยจึงมีชายหนุ่ม มา สนใจมากมาย แต่ตาม่องล่ายตั้งใจยกให้พระเจ้ากรุงจีน เพราะเห็นว่าร่ำรวย ลูกสาวจะได้สบาย ส่วนยายท้าว ตั้งใจจะยกให้เจ้าลายซึ่งเป็นหนุ่มหน้าตาดีและขยัน ต่างฝ่ายต่างยกลูกสาวให้ โดยไม่ปรึกษาหารือกัน และไม่ถามความรู้สึกของลูกสาวแม้แต่น้อย ครั้นใกล้วันแต่งงานตาม่องล่ายก็เตรียมออกไปหาปลา มาทำอาหารเลี้ยงแขก พบปลากระเบนใหญ่เข้าตัวหนึ่ง ก็ใช้หอกพุ่งเข้าแทง ปลากระเบนหลบทัน หอกเลยพุ่งทะลุเกาะเข้าเกาะหนึ่ง ทำให้เกาะนั้นมีรอยโหว่ใหญ่ ชาวประมงเลยเรียกว่า "เกาะทะลุ" ซึ่งอยู่หน้าอ่าวเพ ในปัจจุบัน ถึงวันแต่งงานขันหมากของพระเจ้ากรุงจีนก็ยกมาพอดีกับขันหมากของเจ้าลาย ตาม่องล่ายกับยายท้าวต่างฝ่ายต่างกล่าวหาว่า อีกฝ่ายหนึ่งทำอะไรโดยไม่ปรึกษาหารือ ในที่สุดก็ทะเลาะกันรุนแรง ยายท้าวโกรธมาก หนีไปสงบสติอารมณ์ที่ชายหาดระยอง จึงเรียกชื่อต่อมาว่า "หาดแม่รำพึง" จนทุกวันนี้ นอกจากนี้ยังมีอีกตำนานหนึ่งที่เล่าสืบต่อกันมาว่า มีหญิงสาวชาวบ้านมาโดดน้ำฆ่าตัวตายที่ทะเลแห่งนี้ เนื่องจากผิดหวังในความรักจึงเป็นที่มาของ "หาดแม่รำพึง" เช่นกัน ไม่ว่าตำนานจะร่ำลือเช่นไร ปัจจุบันหาดแม่รำพึงก็มีชื่อว่าเป็นหาดอาถรรพณ์ เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวมาจบชีวิตที่หาดแห่งนี้ทุกปี ดังที่เป็นข่าวให้ได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน แต่บรรดานักท่องเที่ยวก็ไม่หวาดหวั่น ยังคงเดินทางมาอย่างไม่ขาดสาย และในที่สุดก็จบชีวิตลงอย่างที่มีการร่ำลือกัน ล่าสุดนักเรียนจากโรงเรียนวัดทรงธรรม ย่านพระประแดง ที่เดินทางไปฉลองจบชั้นม.6 ก็สังเวยชีวิตที่นี่ 1 รายจากการถูกคลื่นซัดจมหายไป ก่อนหน้านั้นเพียง 2 วันก็เพิ่งเกิดเหตุสลดกับนักท่องเที่ยวสาววัย 16 ปี ถูกคลื่นใต้น้ำดูดร่างจมน้ำเสียชีวิต สาเหตุของการเสียชีวิตของทั้งคู่เกิดจากอะไร ชาวประมงพื้นบ้านที่หาดแม่รำพึง ให้ข้อมูลว่า ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม เป็นช่วงลมมรสุม หรือที่ชาวประมงเรียกว่า "ลมสลาตัน" ที่จะก่อให้เกิดกระแสน้ำวนทั่วทั้งหาด และที่บริเวณหาดแม่รำพึงจะเป็นจุดที่คลื่นพัดเข้าทั้ง 2 ด้านเรียกว่า "คลื่นเทพนม" ทำให้เกิดร่องน้ำใหญ่ตรงกลาง มีแรงดูดมหาศาล หากไปเล่นน้ำบริเวณดังกล่าวแม้เพียงแค่หัวเข่า ก็อาจถูกคลื่นดูดหายเข้าไปจนทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นนักท่องเที่ยวจึงควรระมัดระวังไม่ลงเล่นน้ำในจุดที่ปิดป้าย ประกาศเตือนห้ามเล่นน้ำโดยเด็ดขาด และไม่ควรเล่นน้ำห่างไกลจากชายฝั่งมากเกินไป เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที หากเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)