จำนวนผู้เข้าชม

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สิงโต

สิงโต

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สิงโต
สิงโตตัวผู้
สิงโตตัวผู้
สิงโตตัวเมีย
สิงโตตัวเมีย
สิงโต (อังกฤษ: lion) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีกระดูกสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อยู่ในวงศ์ Felidae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับแมว สิงโตมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera leo มีขนาดลำตัวใหญ่ ขนาดไล่เลี่ยกับเสือโคร่งทั่วไป (P. tigris) ซึ่งเป็นสัตว์ในสกุล Panthera เหมือนกัน จัดเป็นสัตว์ในวงศ์ Felidae ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดรองมาจากเสือโคร่งไซบีเรีย (P. t. altaica) พื้นลำตัวสีน้ำตาล ไม่มีลาย ตัวผู้เมื่อโตเต็มที่จะมีขนสร้อยคอยาว ขนปลายหางเป็นพู่ ชอบอยู่เป็นฝูงตามทุ่งโล่ง มีน้ำหนักประมาณ 250 กิโลกรัม (550 ปอนด์) ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า มักทำหน้าที่ล่าเหยื่อ มีน้ำหนักประมาณ 180 กิโลกรัม (400 ปอนด์) มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาและประเทศอินเดีย ในป่าธรรมชาติ สิงโตมีอายุขัยประมาณ 10-14 ปี ส่วนสิงโตที่อยู่ในกรงเลี้ยงมีอายุยืนถึง 20 ปี

เนื้อหา

[ซ่อน]

[แก้] ศัพท์มูลวิทยา

คำว่า lion คล้ายกับหลายคำในกลุ่มภาษาโรมานซ์ซึ่งกลายมาจากภาษาละติน "leo"[1] และภาษากรีกโบราณ "λέων" (leon)[2] คำในภาษาฮีบรู "לָבִיא" (lavi) ก็อาจเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน[3] สิงโตเป็นหนึ่งสปีชีส์ที่ถูกจัดจำแนกโดยลินเนียสผู้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ให้แก่สิงโตว่า Felis leo ซึ่งปรากฏอยู่ในงานของเขาในคริสต์ศตวรรษที่ 18 Systema Naturae[4] องค์ประกอบในการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ Panthera leo มักจะสันนิษฐานว่ามาจากภาษากรีก pan- ("ทั้งหมด") และ ther ("สัตว์ร้าย") แต่ก็อาจจะเป็นศัพทมูลวิทยาพื้นบ้าน แม้ว่าคำนี้จะกลายเป็นภาษาอังกฤษจากภาษาแบบแผน แต่เนื่องจากคล้ายคำ pundarikam "เสือ" ในภาษาสันสกฤตอย่างมาก ซึ่งคำนี้อาจมาจากคำ pandarah "ขาว-เหลือง"[5]

[แก้] อนุกรมวิธานและการวิวัฒนาการ

สิงโตเป็นสปีชีส์ในสกุล Panthera และเป็นญาติใกล้ชิดกับสปีชีส์อื่นในสกุลเดียวกันคือ: เสือโคร่ง เสือจากัวร์ และเสือดาว Panthera leo มีวิวัฒนาการในทวีปแอฟริการะหว่าง 1ล้านถึง 800,000 ปีมาแล้ว ก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคซีกโลกตอนเหนือ[6] สิงโตปรากฏตัวในทวีปยุโรปครั้งแรกเมื่อ 700,000 ปีก่อน ซึ่งมีการค้นพบสิงโตชนิดย่อย Panthera leo fossilis ที่อีแซร์เนีย (Isernia) ในประเทศอิตาลี จากสิงโตชนิดนี้ก็กลายเป็นสิงโตถ้ำ (Panthera leo spelaea) ในภายหลัง ปรากฏตัวขึ้นเมื่อ 300,000 ปีมาแล้ว ระหว่างปลายสมัยไพลสโตซีน สิงโตได้แพร่กระจายสู่อเมริกาเหนือและอเมริกาใต้และวิวัฒนาการเป็นสิงโตอเมริกา (Panthera leo atrox)[7] สิงโตได้สูญหายไปจากตอนเหนือของทวีปยูเรเชียและทวีปอเมริกาในช่วงจุดจบของการเปลี่ยนสภาพโดยธารน้ำแข็งครั้งสุดท้ายเมื่อ 10,000 ปีมาแล้ว[8] ซึ่งอาจเป็นเหตุการณ์การสูญพันธุ์ครั้งที่สองของมหพรรณสัตว์ (megafauna) ในสมัยไพลสโตซีน[9]

[แก้] ชนิดย่อย

สิงโตในปัจจุบัน เดิมมี 12 ชนิดย่อยที่ได้รับการยอมรับ จำแนกความแตกต่างจาก แผงคอ ขนาด และการกระจายพันธุ์ เพราะลักษณะเหล่านี้ไม่ได้มีนัยสำคัญและมีความแปรผันในแต่ละตัวสูง ทำให้รูปแบบส่วนมากอาจไม่ใช่ชนิดย่อยที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตั้งอยู่บนพื้นฐานของสิงโตในสวนสัตว์ซึ่งไม่ทราบแหล่งที่มานั้นอาจมี "ความโดดเด่น แต่ผิดปกติ" ในลักษณะทางสัณฐานวิทยา[10] ปัจจุบันเหลือเพียง 8 ชนิดย่อยที่ได้รับการยอมรับ[8][11] แม้ว่าหนึ่งในนั้น (สิงโตแหลมกูดโฮพ ปกติจำแนกเป็น Panthera leo melanochaita) อาจเป็นโมฆะ[11] แม้ว่า 7 ชนิดย่อยที่เหลืออาจดูมาก แต่ความแปรผันของไมโทคอนเดรียในสิงโตแอฟริกาปัจจุบันกลับไม่มากนักซึ่งแสดงว่าสิงโตในตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาราทั้งหมดสามารถพิจารณาเป็นชนิดย่อยเดียวกันได้ อาจเป็นเพราะการแยกตัวในสองเครือบรรพบุรุษหลัก หนึ่งในทางตะวันตกของเกรตริฟต์แวลลีย์ และอีกหนึ่งในทางตะวันออก สิงโตจากซาโว (Tsavo) ในทางตะวันออกของประเทศเคนยามีพันธุกรรมใกล้เคียงกับสิงโตในทรานซ์วาล (Transvaal) แอฟริกาใต้มากกว่าสิงโตในเทือกเขาอเบอร์แดร์ (Aberdare) ในทางตะวันตกของประเทศเคนยา[12][13] ในทางกลับกัน เปอร์ คริสเตียนเซน (Per Christiansen) ทำการวิเคราะห์กะโหลกสิงโต 58 กะโหลกในสามพิพิธภัณฑ์ในยุโรป และพบว่าถ้าใช้สัณฐานวิทยาของกะโหลกสามารถแยกชนิดย่อยได้เป็น krugeri nubica persica และ senegalensis ขณะที่มีการเลื่อมล้ำกันระหว่าง bleyenberghi กับ senegalensis และ krugeri สิงโตเอเชีย persica มีความโดดเด่นอย่างเด่นชัด และสิงโตแหลมกูดโฮพมีลักษณะใกล้ชิดกับสิงโตเอเชียมากกว่าสิงโตแอฟริกา[14]

[แก้] สิงโตในปัจจุบัน

มี 8 ชนิดย่อยในปัจจุบัน (สมัยโฮโลซีน) ที่ได้รับการยอมรับ:

[แก้] สิงโตสมัยไพลสโตซีน

มีชนิดย่อยของสิงโต 2-3 ชนิดที่มีชีวิตอยู่ในช่วงสมัยก่อนประวัติศาสตร์:
  • P. l. atrox หรือที่รู้จักกันในชื่อสิงโตอเมริกาหรือสิงโตถ้ำอเมริกา กระจายพันธุ์ในทวีปอเมริกาจากประเทศแคนาดาถึงประเทศเปรูในสมัยไพลสโตซีนจนกระทั่งราว 10,000 ปีมาแล้ว ชนิดย่อยนี้บางครั้งได้รับการพิจารณาเป็นตัวแทนที่แยกจากกันของชนิดเป็นสัตว์สปีชีส์อื่นที่ไม่ใช่สิงโต แต่การศึกษาถึงวิวัฒนาการแสดงว่าแท้จริงแล้วมันคือชนิดย่อยของสิงโต (Panthera leo)[8][21] เป็นสิงโตขนาดใหญ่ ลำตัวยาวประมาณ 1.6–2.5 ม. (5–8 ฟุต)[22]
  • P. l. fossilis หรือที่รู้จักกันในชื่อสิงโตถ้ำไพลสโตซีนต้นตอนกลาง มีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 500,000 ปีมาแล้ว ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ที่ประเทศเยอรมนีและประเทศอิตาลี มีขนาดใหญ่กว่าสิงโตแอฟริกาในปัจจุบัน ขนาดใกล้เคียงกับสิงโตถ้ำอเมริกา[8][23]
ภาพสิงโตถ้ำในโถงแมว ถ้ำลาสโก
  • P. l. spelaea หรือที่รู้จักกันในชื่อสิงโตถ้ำยุโรป สิงโตถ้ำยูเรเชีย หรือสิงโตถ้ำยุโรปไพลสโตซีนตอนปลาย ปรากฏขึ้นเมื่อในยูเรเชีย 300,000 ถึง 10,000 ปีมาแล้ว[8] สิงโตชนิดนี้เป็นที่รู้จักจากภาพวาดยุคหินเก่า, งาหรือเขาสัตว์แกะสลัก และรูปปั้นจากดิน[24] มีลักษณะหูยื่น หางเป็นพู่ อาจมีลายทางจางๆคล้ายเสือโคร่ง และเพศผู้บางตัวมีขนแผงคอ[25]

[แก้] ชนิดย่อยที่ยังไม่แน่นอน

  • P. l. sinhaleyus หรือที่รู้จักกันในชื่อสิงโตศรีลังกา ดูเหมือนจะสูญพันธุ์เมื่อประมาณ 39,000 ปีมาแล้ว มีการขุดค้นพบเพียงฟัน 2 ซี่เท่านั้นที่กุรุวิตา (Kuruwita) ด้วยพื้นฐานของฟัน 2 ซี่นี้ พี. ดีแรนนิรากะยา (P. Deraniyagala) ได้ตั้งชนิดย่อยขึ้นในปี ค.ศ. 1939[26]
  • P. l. europaea หรือที่รู้จักกันในชื่อสิงโตยุโรป สถานะชนิดย่อยของสิงโตชนิดนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัด ซึ่งมันอาจจะเป็นชนิดย่อย Panthera leo persica หรือ Panthera leo spelea ก็ได้ สิงโตชนิดนี้สูญพันธุ์เมื่อราวคริสต์ศักราชที่ 100 เพราะการล่าและหาประโยชน์มากเกินไป สิงโตมีถิ่นอาศัยในบอลข่าน, คาบสมุทรอิตาลี, ตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส, และคาบสมุทรไอบีเรีย เป็นสัตว์ที่นิยมล่าในโรมันและกรีก
  • P. l. youngi หรือ Panthera youngi มีชีวิตอยู่เมื่อ 350,000 ปีมาแล้ว[27] ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสิงโตชนิดย่อยในปัจจุบันยังคลุมเครือ มันอาจเป็นสปีชีส์ที่แยกออกไปต่างหาก
  • P. l. maculatus หรือที่รู้จักกันในชื่อมาโรไซหรือสิงโตลายจุด บางคนเชื่อว่าเป็นสิงโตชนิดย่อยแต่ก็อาจเป็นสิงโตเต็มวัยที่ยังคงเหลือลายจุดจากวัยเด็กไว้ ถ้ามันเป็นชนิดย่อยจริง สิงโตชนิดนี้จะสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1931 ยังมีความเป็นไปได้อีกกรณีหนึ่งคือมันเป็นลูกผสมตามธรรมชาติของสิงโตกับเสือดาวหรือที่รู้จักกันในชื่อเลโอปอน (leopon) แต่มีความเป็นไปได้น้อยมาก[28]

[แก้] ลักษณะ

โครงกระดูกสิงโตแอฟริกากำลังโจมตีละมั่ง ตั้งแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์กระดูก โอคลาโฮมาซิตี โอคลาโฮมา
สิงโตเป็นสัตว์ที่สูงที่สุด (สูงจรดหัวไหล่) ในวงศ์แมวและมีน้ำหนักมากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากเสือโคร่ง สิงโตมีกะโหลกศีรษะคล้ายกับเสือโคร่งมาก แม้ว่าบริเวณกระดูกหน้าผากจะยุบลงและแบนราบ กับหลังเบ้าตาสั้นกว่าเล็กน้อย กะโหลกศีรษะของสิงโตมีโพรงจมูกกว้างกว่าเสือโคร่ง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความแปรผันในของกะโหลกศีรษะของสัตว์ทั้งสองชนิด ปกติแล้วจึงมีเพียงโครงสร้างของขากรรไกรล่างเท่านั้นที่เป็นตัวบ่งชี้ที่น่าเชื่อถือได้ว่าเป็นสปีชีส์ใด[29] สีขนของสิงโตจะมีตั้งแต่สีน้ำตาลอมเหลืองจางๆถึงค่อนข้างเหลือง ออกแดง หรือน้ำตาลเข้ม ส่วนท้องมีสีอ่อนกว่าและพู่หางมีสีดำ ลูกสิงโตที่เกิดมาจะมีจุดลายรูปดอกกุหลาบสีน้ำตาลบนลำตัวคล้ายกับเสือดาว แม้ว่าจุดเหล่านี้จะจางหายไปเมื่อสิงโตโตเต็มวัย แต่บ่อยครั้งกลับยังสามารถพบเห็นได้จางๆบนขาและส่วนท้องโดยเฉพาะในสิงโตเพศเมีย
สิงโตเป็นสมาชิกเพียงชนิดเดียวในวงศ์เสือและแมวที่แสดงความแตกต่างระหว่างเพศอย่างชัดเจน และแต่ละเพศก็จะบทบาทพิเศษต่างกันไปในฝูง ในกรณีสิงโตเพศเมีย เป็นนักล่าไม่มีแผงคอหนาเป็นภาระเช่นในเพศผู้ ซึ่งดูเหมือนเป็นอุปสรรคต่อสิงโตเพศผู้ที่จะอำพรางตัวเข้าใกล้เหยื่อและสร้างความร้อนเป็นอย่างมากเมื่อต้องวิ่งไล่ติดตามเหยื่อ สีของแผงคอในสิงโตเพศผู้อยู่ระหว่างสีเหลืองอ่อนถึงดำ ปกติจะเข้มขึ้นเรื่อยๆเมื่อสิงโตมีอายุมากขึ้น
ในการเผชิญหน้ากับสิงโตตัวอื่น แผงคอจะทำให้สิงโตดูมีขนาดใหญ่ขึ้น
น้ำหนักของสิงโตที่โตเต็มที่จะอยู่ระหว่าง 150–250 กก. (330–550 ปอนด์) สำหรับเพศผู้ และ 120–182 กก. (264–400 ปอนด์) สำหรับเพศเมีย[30] โนเวลล์ (Nowell) และแจ็คสัน (Jackson) รายงานว่าน้ำหนักตัวของสิงโตโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 181 กก.สำหรับเพศผู้ และ 126 กก.สำหรับเพศเมีย มีสิงโตเพศผู้ตัวหนึ่งที่ถูกยิงตายใกล้กับภูเขาเคนยามีน้ำหนัก 272 กก. (600 ปอนด์)[16] สิงโตมีแนวโน้มของขนาดตัวที่แปรผันขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมและบริเวณถิ่นอาศัย ผลการบันทึกน้ำหนักของสิงโตที่กระจายพันธุ์เป็นวงกว้าง ในกรณีสิงโตในแอฟริกาใต้มีแนวโน้มของน้ำหนักตัวมากกว่าสิงโตในแอฟริกาตะวันออก 5 %[31]
ส่วนศีรษะและลำตัวยาว 170–250 ซม. (5 ฟุต 7 นิ้ว – 8 ฟุต 2 นิ้ว) ในสิงโตเพศผู้ และ 140–175 ซม. (4 ฟุต 7 นิ้ว – 5 ฟุต 9 นิ้ว) ในสิงโตเพศเมีย สูงจรดหัวไหล่ราว 123 ซม. (4 ฟุต) ในเพศผู้ และ 107 ซม. (3 ฟุต 6 นิ้ว) ในเพศเมีย หางยาว 90–105 ซม. (2 ฟุต 11 นิ้ว - 3 ฟุต 5 นิ้ว) ในเพศผู้ และ 70–100 ซม. (2 ฟุต 4 นิ้ว – 3 ฟุต 3 นิ้ว) ในเพศเมีย[30] สิงโตตัวที่ยาวที่สุดเป็นสิงโตเพศผู้แผงคอสีดำที่ถูกยิงตายใกล้กับมุคส์ซู (Mucsso) ทางตอนใต้ของประเทศแองโกลาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1973 สิงโตที่มีน้ำหนักมากที่สุดที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติคือสิงโตกินคนซึ่งถูกยิงตายในปี ค.ศ. 1936 นอกเมืองเฮกทอร์สพริต (Hectorspruit) ในทางตะวันออกของจังหวัดทรานสวาล (Transvaal) ประเทศแอฟริกาใต้ มีน้ำหนัก 313 กก. (690 ปอนด์)[32] สิงโตในที่เลี้ยงมีแนวโน้มที่จะมีขนาดใหญ่กว่าสิงโตในธรรมชาติ สิงโตที่หนักที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้เป็นสิงโตเพศผู้ที่สวนสัตว์โคลเชสเตอร์ (Colchester) ในประเทศอังกฤษ มีชื่อว่าซิมบา (Simba) ในปี ค.ศ. 1970 ซึ่งมีน้ำหนักถึง 375 กก. (826 ปอนด์)[33]
มีลักษณะเด่นชัดมากที่ปรากฏในสิงโตเพศผู้และเพศเมียคือมีขนกระจุกที่ปลายหาง ในสิงโตบางตัว ขนกระจุกจะปกปิด"เงี่ยงกระดูก"หรือ"ปุ่มงอก"ซึ่งยาวประมาณ 5 มม.ซึ่งเกิดจากส่วนสุดท้ายของกระดูกหางรวมตัวกัน สิงโตเป็นสัตว์ตระกูลแมวเพียงชนิดเดียวที่มีขนกระจุกที่ปลายหาง หน้าที่ของขนกระจุกและเงี่ยงกระดูกยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เมื่อแรกเกิดลูกสิงโตจะไม่มีขนกระจุกนี้ ขนกระจุกจะเริ่มเกิดขึ้นมาเมื่อมีอายุประมาณ 5½ เดือน และสังเกตเห็นได้ชัดเจนเมื่ออายุ 7 เดือน[34]

[แก้] ขนแผงคอ

แผงคอของสิงโตเพศผู้ที่โตเต็มวัยเป็นลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นของสบีชีส์นี้ ซึ่งไม่พบในสัตว์ในวงศ์เดียวกันชนิดอื่น ส่งผลให้มันแลดูมีขนาดใหญ่ขึ้น ช่วยในแสดงออกของการข่มขู่ได้ดีเยี่ยมเมื่อเผชิญหน้ากับสิงโตตัวอื่นและคู่แข่งที่สำคัญในแอฟริกา ไฮยีนาลายจุด[35] การที่มีหรือไม่มีแผงคอ รวมถึงสีและขนาดนั้นเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขทางพันธุกรรม การเจริญเติบโต สภาพอากาศ และการสร้างเทสโทสเตอโรน มีหลักทั่วไปว่าขนแผงคอสีเข้มกว่าและใหญ่กว่าคือสิงโตที่มีสุขภาพดีกว่า การเลือกคู่ของนางสิงห์นั้นมักจะเลือกสิงโตเพศผู้ที่มีแผงคอหนาแน่นและมีสีเข้มที่สุด[36] จากการศึกษาในประเทศแทนซาเนียยังแสดงให้เห็นว่าขนแผงคอที่ยาวเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการประสบความสำเร็จในการต่อสู้ระหว่างสิงโตเพศผู้ด้วยกันอีกด้วย แผงคอที่เข้มดำอาจบ่งบอกถึงช่วงเจริญพันธุ์ที่ยาวนานกว่าและลูกหลานที่มีโอกาสรอดชีวิตสูง แม้ว่าต้องอดอยากในเดือนที่ร้อนที่สุดของปีก็ตาม[37] ในฝูงที่ประกอบไปด้วยสิงโตเพศผู้ 2-3 ตัว มีทางเป็นไปได้ที่นางสิงห์จะจับคู่ผสมพันธุ์กับเพศผู้ที่มีขนแผงคอใหญ่ที่สุด หนักที่สุด[36]
สิงโตซาโว เพศผู้มีขนแผงคอเพียงหรอมแหรม จากอุทยานแห่งชาติซาโวตะวันออก ประเทศเคนยา
นักวิทยาศาสตร์มีความเชื่อว่าสถานะความแตกต่างในระดับชนิดย่อยสามารถแบ่งแยกได้ทางสัณฐานวิทยา ซึ่งรวมถึง ขนาดของขนแผงคอ รูปร่างทางสัณฐานของสิงโตสามารถระบุบถึงความแตกต่างของชนิดย่อยได้ เช่น สิงโตบาร์บารีและสิงโตแหลมกูดโฮพ อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาระบุบว่าปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อสีและขนาดของขนแผงคอสิงโต เช่น อุณหภูมิในสภาพแวดล้อม[37] เช่น อากาศหนาวเย็นของสวนสัตว์ในยุโรปและอเมริกาเหนืออาจมีผลทำให้ขนแผงคอหนาและหนักขึ้น ดังนั้น แผงคอจึงเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมที่จะใช้ในการระบุบถึงชนิดย่อย[11][38] แต่อย่างไรก็ตาม สิงโตเอเชียเพศผู้มีขนแผงคอบางกว่าสิงโตแอฟริกาโดยเฉลี่ย[39]
มีรายงานถึงสิงโตเพศผู้ที่ไม่ปรากฏขนแผงคอในประเทศเซเนกัลและอุทยานแห่งชาติซาโวตะวันออกในประเทศเคนยา และสิงโตขาวเพศผู้ตัวแรกเริ่มจากทิมบาวัตติ (Timbavati) นั้นก็ไม่มีแผงคอด้วยเช่นกัน

[แก้] สิงโตขาว

[แก้] พฤติกรรม

สิงโตแอฟริกา และสิงโตอินเดียมีลักษณะที่แตกต่างกันตรงบริเวณขนแผงคอและลำตัวเท่านั้น สิงโตแอฟริกาตัวผู้โตเต็มที่ขนคอยาวรอบคอ ดูสง่าน่าเกรงขามจนมีสมญาว่าเป็น "เจ้าแห่งสัตว์ป่า" ตัวเมียไม่มีขนรอบคอ ปลายหางขนเป็นพู่ ส่วนสิงโตเอเชียตัวผู้มีขนแผงคอที่ไม่หนาและเห็นหูโผล่มานอกขนแผงคอได้ชัดเจน และใต้ท้องจะมีหนังห้อยอยู่ใต้ท้องเหมือนกับเสือเล็กน้อย และ ตัวเมียก็มีลักษณะคล้ายกับสิงโตตัวเมียแอฟริกา และมีขนหางพู่ที่หนากว่า ถ้าเทียบตามสัดส่วนแล้ว สิงโตแอฟริกาจะใหญ่กว่าสิงโตเอเชีย แต่ควรจะดูที่ลักษณะขนแผงคอและร่างกายจะดีที่สุดถึงจะแยกแยะออกได้ และทั้งสองสายพันธุ์มีเสียงคำรามที่เสียงดังมากได้ยินไปไกล การคำรามเป็นการช่วยเรียกตัวเมียในฤดูผสมพันธุ์ด้วย

[แก้] ถิ่นกำเนิดและสายพันธุ์

สิงโตในอดีตพบกระจายอยู่ตามทวีปต่าง ๆ ทั่วโลก มีสายพันธุ์มากมาย แต่ได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันพบเพียงแค่ในทวีปแอฟริกา ในทวีปเอเชียยังคงมีอยู่บ้าง เช่น บางแห่งในประเทศอินเดียแถบตะวันตก มี 6 สายพันธุ์ย่อย พบในทวีปแอฟริกา 5 สายพันธุ์ คือ และในทวีปเอเชีย 1 สายพันธุ์ [40]
ชื่อภาษาไทยชื่อภาษาอังกฤษชื่อวิทยาศาสตร์ลักษณะสถานที่พบสถานะ
สิงโตคองโกCongo lionP. l. azandica
-
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของคองโก
-
สิงโตกาทังกาKatanga lionP. l. bleyenberghi
-
นามิเบีย, แองโกลา, บอตสวานา, ซาอีร์, แซมเบีย, ซิมบับเว
-
สิงโตขาวWhite lionP. l. krugeriมีขนสีอ่อนกว่าสิงโตสายพันธุ์อื่นหรือสีขาวทั้งลำตัวอุทยานแห่งชาติครูเกอร์ในแอฟริกาใต้มีจำนวนประชากรราว 300 ตัวในธรรมชาติ
สิงโตบาร์บารีBarbary lionP. l. leoเป็นสิงโตที่มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักตัวมากที่สุด ตัวผู้มีขนแผงคอสีดำแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลางสูญพันธุ์ไปแล้ว
สิงโตแหลมกูดโฮพCave lionP. l. melanochaitusเป็นสิงโตขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายสิงโตบาร์บารีบริเวณที่เป็นแหลมชายฝั่งทะเลในแอฟริกาใต้สูญพันธุ์ไปแล้ว
สิงโตซาโวEast African lionP. l. nubicaตัวผู้ไม่มีแผงคอหรือมีก็สั้น ๆ และมีส่วนร่วมในการล่าเหยื่อด้วยแอฟริกาตะวันออก
-
สิงโตอินเดียAsiatic lionP. l. persicaมีขนาดเล็กกว่าสิงโตในทวีปแอฟริกา เป็นสิงโตสายพันธุ์เดียวเท่านั้นที่พบในทวีปเอเชียอุทยานแห่งชาติป่ากีร์ในอินเดียมีจำนวนประชากรราว 290-350 ตัวในธรรมชาติ
สิงโตเซเนกัลSenegal lionP. l. senegalensis
-
เซเนกัลและไนจีเรีย
-

[แก้] นิสัย

ชอบอยู่เป็นฝูงตามทุ่งโล่ง ขนาดของฝูงขึ้นอยู่กับปริมาณของเหยื่อ ถ้าเหยื่อมีมากและขนาดใหญ่มากและขนาดของเหยื่อใหญ่ก็จะอยู่รวมกันเป็นฝูง นิสัยของมันไม่กล้าหาญนัก ใช้เวลาส่วนใหญ่ในตอนกลางวันเพื่อนอนพักใต้ร่มไม้ โดยมีเวลานอนนานถึงวันละ 20 ชั่วโมง ล่าเหยื่อเมื่อหิว หน้าที่ล่าเหยื่อจะเป็นของตัวเมียเป็นส่วนใหญ่ มันชอบกินซากสัตว์ที่เน่าแล้วด้วย ตัวผู้มักไม่ล่าเหยื่อเอง ตัวผู้จะคอยกันตัวเมียออกจากซากเหยื่อเพื่อกินอาหารก่อนในฐานะจ่าฝูง สิงโตออกหากินกลางคืน ตั้งแต่มืดไปจนถึงเที่ยงคืนเมื่อกินเหยื่อเสร็จ แล้วต้องกินน้ำ นอนพัก ตอนเช้าจึงจะกลับที่อยู่ ลักษณะการล่าเหยื่อของมันมีหลายวิธี เช่น ซุ่มซ่อนตัวตัวตามพุ่มไม้สูง ๆ การล่าเหยื่อทั้งแบบไล่เดี่ยวและเป็นกลุ่ม ฯลฯ แต่ไม่ว่าวิธีใดก็ตามมันจะพยายามเข้าไปใกล้เหยื่อให้มากที่สุดก่อนที่จะกระโดดเข้าตะครุบเหยื่อหรือออกล่าเหยื่อ เพื่อให้เหยื่อมีเวลาหนีน้อยที่สุด เพราะสิงโตจะวิ่งได้เร็วในช่วงสั้น ๆ เท่านั้น
สิงโตขาว (Panthera leo krugeri)

[แก้] การสืบพันธุ์

ฤดูผสมพันธุ์ไม่แน่นอนมีได้ทุกเวลาตลอดปี ระยะของการเป็นสัดนาน 4-16 วัน ตัวเมียเริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุประมาณ 3 ปี ตัวผู้ประมาณ 4-6 ปี เคยมีรายงานอายุ 2 ปี ก็ผสมพันธุ์ได้ ตั้งท้องนานราว 100 วัน ตกลูกครั้งละ 3-5 ตัว เคยมีรายงานได้ลูกถึง 7 ตัว ลูกอดนมเมื่ออายุ 3-6 เดือน อายุยืนประมาณ 30-60 ปี ลูกตัวที่อ่อนแออาจถูกทิ้งให้ตายหรือถูกกินในหมู่สิงโตด้วยกัน

[แก้] อาหาร

สิงโตกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร มันกินสัตว์ได้แทบทุกชนิด เช่น กระต่าย ไก่ป่า จระเข้ ลิง เม่น กวาง ม้าลาย ควายป่า เป็นต้น แม้แต่ซากสิงโตด้วยกันเองก็กิน ลูกสิงโตที่อ่อนแอจะถูกกินเพื่อให้ตัวที่แข็งแรงกว่าได้อยู่รอด

[แก้] สิงโตกับมนุษย์

ดูบทความหลักที่ สิงโตในมุทราศาสตร์
สัญลักษณ์ Three Lions
สิงโตถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจและความแข็งแกร่งมาตั้งแต่โบราณ มนุษย์ในทุกภาษา ทุกวัฒนธรรมล้วนแต่ใช้สิงโตเป็นสัญลักษณ์ในเชิงนี้ทั้งนั้น เช่น ในปรัมปราของศาสนาฮินดู พระนารายณ์เคยอวตารลงมาเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสิงโต ชื่อว่า "นรสิงห์" เพื่อปราบมาร ในวัฒนธรรมไทย เมื่อพระมหากษัตริย์เสด็จออกยังมุขหรือบัญชร จะเรียกว่า "สีหบัญชร" (หมายถึง หน้าต่างสิงโต) และเรียกพระบรมราโชวาทในครั้งนี้ว่า "สีหนาท" (หมายถึง เสียงคำรามของสิงโต) เป็นต้น
ในภาษาบาลีและสันสกฤตมีคำศัพท์เรียกสิงโตในเชิงยกย่องซึ่งเป็นคนที่คนไทยรู้จักกันดี คือ "ราชสีห์" หมายถึงพญาสิงโต หรือราชาแห่งสิงโต ซึ่งเป็นสัตว์ในตำนานถือว่าดุร้ายและมีพละกำลังมาก
ในประเทศจีน ซึ่งไม่มีสิงโตเป็นสัตว์พื้นเมือง แต่ก็รับเอาสิงโตมาจากเปอร์เซีย ก็มีการเชิดสิงโต เป็นการละเล่นประกอบในพิธีมงคลหรือรื่นเริงต่าง ๆ เพราะมีความเชื่อว่า สิงโตเป็นสัตว์ใหญ่ที่สัตว์ต่าง ๆ เกรงขาม จึงมีพลังอำนาจในการขับไล่สิ่งอัปมงคลได้
ในประเทศอังกฤษ ซึ่งอยู่ในภาคพื้นยุโรป ที่ก็ไม่มีสิงโตเป็นสัตว์พื้นเมืองเช่นกัน แต่ก็ใช้สิงโตเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ และสมาคมฟุตบอลอังกฤษก็ใช้สิงโต 3 ตัวเป็นสัญลักษณ์และใช้เป็นสัญลักษณ์ของทีมชาติด้วยเรียกว่า "Three Lions" และกษัตริย์อังกฤษหลายพระองค์ก็ถูกขนานพระราชสมัญญานามเปรียบเทียบกับสิงโตด้วยเช่นกัน เช่น พระเจ้าริชาร์ดที่ 1 มีพระราชสมัญญานามว่า "พระเจ้าริชาร์ด ใจสิงห์" (Richard the Lionheart) เป็นต้น
สำหรับในประเทศไทย สิงโตถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของหน่วยงานกระทรวงมหาดไทยและใช้เป็นสัญลักษณ์ของคณะรัฐศาสตร์ของแต่ละมหาวิทยาลัยอีกด้วย โดยมีชื่อเรียกกันไปต่าง ๆ ตามสีของสิงโต เช่น "สิงห์ดำ" หมายถึง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, "สิงห์แดง" หมายถึง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, "สิงห์ทอง" หมายถึง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น